นิ้วกลม : 5 ของขวัญสำหรับคนที่คุณรักในปี 2017

นิ้วกลมfacebook.com/Roundfinger.BOOK

เข้าสู่ฤดูมอบของขวัญอีกครั้ง จึงอยากชวนคุยกันว่า หากเราไม่มอบของขวัญให้กันเฉพาะช่วงวันพิเศษ เราสามารถมอบ “ของขวัญที่ไม่มีห่อ” ให้กันในชีวิตประจำวันได้ยังไงบ้าง

ผมลองนั่งคิดดูว่า ในฐานะ “ผู้รับ” ผมอยากได้ของขวัญอะไรจาก “ผู้ให้” ในวันธรรมดา

ผมคิดถึงสิ่งเหล่านี้ครับ

1)

ความจริงใจ :

แว่บแรกของความคิด ผมคิดถึงเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

แต่ทั้งสองสิ่งนี้จะไม่มีคุณค่าเลยหากมันเกิดขึ้นโดยปราศจากความจริงใจ

ในทางตรงกันข้าม ความจริงใจที่ไม่ได้มาพร้อมรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะอาจจะเป็นสิ่งที่มีค่ากับเรามาก

ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา คำติที่มีประโยชน์ คำเตือนที่เจือปนมิตรภาพ เหล่านี้เป็นของขวัญที่มอบให้กันได้ทุกวัน

คุณอาจจะเคยรู้สึกเหมือนกันเมื่อได้อยู่กับคนบางคน แม้เขาไม่ส่งยิ้มให้ในบางวัน แต่คุณก็รู้สึกได้ว่า ภายใต้ใบหน้านิ่งๆ นั้น

มีความไว้เนื้อเชื่อใจและความปรารถนาดีให้แก่กันอยู่เสมอ

2)

การไม่ตัดสิน :

ในสังคมที่เต็มไปด้วยความคิดเห็นและช่องทางการ “คอมเมนต์” ทุกสิ่งอย่างทั้งบุคลิกลักษณะภายนอก รวมถึงสภาพจิตใจภายใน เสื้อผ้า หน้าตา ความคิด และสิ่งที่เราเป็น พร้อมจะถูกตัดสินจากสารพัดสายตาตลอดเวลา

ถ้าชีวิตมีหนึ่งคนที่ไม่รีบตัดสินเรา เราจะรู้สึกเหมือนมี “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เราได้เป็นตัวเอง

ได้อ่อนแอ

ได้บอกเล่าความรู้สึกต่างๆ อย่างแท้จริง

ได้พักผ่อนจากความคาดหวัง รู้สึกสบายตัว สบายใจ

นี่เป็น “ของขวัญ” ที่ยาก

แต่เรามอบให้แก่กันได้

ยิ่งมอบให้บ่อยเท่าไหร่ จะยิ่งรู้สึก “สนิทใจ” มากขึ้นเท่านั้น

3)

กอด :

ถ้าสนิทกันมากพอ กอดกันบ้างก็ดี

อากาศหน้าร้อนอาจเหนอะหนะไปบ้าง

แต่วันไหนนึกอยากกอดเพื่อนหรือกอดคนใกล้ตัวเพื่อให้กำลังใจ เพื่อส่งพลัง เพื่อบอกว่า “ฉันเข้าใจแก” โดยไม่ต้องพูด ก็ควรกอดกันบ้าง

เพราะ “กอด” บรรจุคำพูดนับพัน ซึ่งบางคำก็พูดไม่ได้ หรือต่อให้พูดก็ไม่ได้ความหมายเหมือนการกอด

กระนั้น เราก็อาจกอดกันด้วยถ้อยคำดีๆ ได้ในบางเวลา

เรามักเขินที่จะกล่าวถ้อยคำดีๆ แก่กัน หากคิดถึงก็ส่งข้อความไปบอกกันได้ หากประทับใจและอยากขอบคุณก็น่าจะบอกกล่าวกัน

หรือถ้าอยากให้กำลังใจก็ส่งข้อความ “กอดๆ” ไปบ้างก็ดี

“กอด” เป็นของฟรีไม่มีราคา แต่คุณค่าล้นเหลือ

4)

สติ :

“สติ” เป็นของขวัญที่เมื่อมอบให้ใคร เราจะได้รับเองไปพร้อมกัน

การอยู่ใกล้ชิดกันย่อมมีโอกาสกระทบกระทั่งทางความคิดและอารมณ์

หากไม่มีสติ ย่อมเสี่ยงต่อการมีปากเสียงกันโดยไม่จำเป็น

เมื่อแสดงออกไปแบบนั้นก็มานั่งเสียใจ ต้องหาวิธีคืนดีกันอีก เสียเวล่ำเวลา

ของขวัญที่มอบแก่กันได้คือ “สติ” ที่เราประคับประคองไว้ในใจเมื่อเกิดเรื่องราวกระทบกัน เมื่อมีสติเราจะถอยตัวออกจากสถานการณ์คุกรุ่นนั้น อาจจะเงียบเสียง ยังไม่ถกเถียงด้วยอารมณ์ รับฟัง หายใจยาวๆ คิดในใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดด้วยอารมณ์ สิ่งที่พูดออกมามิใช่จะหมายความตามนั้น

เมื่อมี “สติ” สถานการณ์จะไม่ย่ำแย่กว่าที่ควรจะเป็น

หากมีสติ เราจะขอโทษเมื่อรู้ว่าตัวเองผิด และไม่กล่าวโทษแม้รู้ว่าตัวเองไม่ผิด

เมื่อคนหนึ่งมีสติ อีกคนหนึ่งก็มักจะค่อยๆ มีสติตามมา

เช่นกัน หากมอบ “สติ” แก่กันได้ นี่คือ “ของขวัญ” ชิ้นเยี่ยม เพราะมันจะช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ ของความสัมพันธ์

5)

เวลา :

ไม่ว่าข้าวของราคาแพงหรือมีคุณค่ามากแค่ไหน ก็เปรียบไม่ได้กับ “เวลา” จริงๆ ที่เรามีให้แก่กัน

ชีวิตอันวุ่นวายทุกวันนี้ดึงความสนใจของเราไปไกลจาก “ความจริงตรงหน้า”

ตลอดเวลา เราเสียโอกาสมอบ “ของขวัญ” ให้คนใกล้ตัวไปไม่รู้กี่ครั้งต่อวัน

ตารางอันวุ่นวายของชีวิตทำให้เรามีโอกาสนั่งนิ่งๆ เพื่อสนทนาปราศรัยกันไม่บ่อยอยู่แล้ว

แต่เมื่อนั่งอยู่ด้วยกันแล้วต่างฝ่ายต่างกดโทรศัพท์ในมือ ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหิน แห้งแล้ง และรู้สึก “ไม่สำคัญ” ต่อกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ปีหน้าอาจลองนโยบายใหม่ วางโทรศัพท์ในช่วงเวลาที่อยู่กับคนสำคัญ

ให้เวลากับเขา

ให้เวลากับเรื่องราวที่เขาไปพบเจอ

ให้เวลากับความทุกข์ในใจของเขาซึ่งต้องใช้เวลากว่ามันจะปรากฏออกมาในบทสนทนา

ให้เวลากับปมลึกๆ ที่เขาอยากระบายให้ใครสักคนฟัง แต่ไม่มีใครนั่งนิ่งเพื่อรับฟังนานพอ

เมื่อให้ “เวลา” แล้ว ในห้วงยามนั้นเรายังสามารถให้ “ของขวัญ” ชิ้นอื่นได้อีก ให้คำแนะนำที่ “จริงใจ” รับฟังอย่าง “ไม่ตัดสิน” มอบอ้อม “กอด” เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายควรจะได้รับ ขณะเดียวกันก็พูดคุยกันอย่างมี “สติ” เพื่อให้ห้วง “เวลา” ที่มอบให้กันเป็น “ของขวัญ” แก่กันและกันในทุกวัน

บางครั้ง ของขวัญที่ดีที่สุดก็คือ “หัวใจดีๆ” ที่มอบให้กันโดยไม่ต้องใช้ “สิ่งของ” มาเป็นตัวกลางความปรารถนาดีนั้น

การมอบ “ของขวัญไม่มีห่อ” เช่นนี้ให้กันย่อมสร้างบรรยากาศ “วันพิเศษ” ขึ้นหลายๆ วันในชีวิต

ไม่เฉพาะคริสต์มาส หรือปีใหม่เท่านั้น