ฟ้า พูลวรลักษณ์ | a touch of zen

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๒๙)

บทความบทนี้ชื่อ a touch of zen

เนื้อความนั้น ไม่เกี่ยวกับศาสนา เพียงแต่หยิบยืมคำที่คิดว่า ให้ความหมายใกล้เคียงกับสิ่งที่ฉันอยากพูดถึง

สังเกตว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมาก มีความกังวลใจว่า หากพวกเขามีชีวิตยืนยาว พวกเขาจะมีความสุขได้อย่างไร คนรุ่นใหม่เหล่านี้เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่พวกเขาคิดมากเหลือเกิน คิดมากเกินไป อย่างนี้พวกเขาจะมีความสุขได้อย่างไร

a touch of zen ก็คือ ความสุข

ไม่กี่วันก่อน ฉันมีเวลาว่างสี่วัน ฉันตัดสินใจไปตราด ไปเที่ยวในแบบของฉัน แต่มันไม่ใช่การเดินข้ามจังหวัด เพราะการเดินข้ามจังหวัด ฉันควรมีเวลาสักเจ็ดวัน คราวนี้ฉันมีเวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้นเอง ฉันไปเริ่มต้นที่ท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์ แหลมงอบ

๑ คืนแรกฉันค้างในเกาะช้าง

๒ วันต่อมาฉันกลับมาที่ตราด แล้วเดินไปเรื่อย มาค้างคืนที่หาดทรายดำ

๓ วันต่อมา ฉันเดินมาเรื่อย มาค้างที่หนองโสน

๔ วันต่อมา ฉันเดินมาเรื่อย มาค้างที่บ้านปู

ครบสี่คืน วันต่อมาฉันกลับบ้าน

ฉันอดเปรียบเทียบสี่วันนี้ กับสี่วันก่อนหน้านี้ ที่ฉันอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ สี่วันก่อนหน้านี้ ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่กับการดูหนัง ซึ่งแม้จะมีไปว่ายน้ำบ้าง แต่ฉันก็ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ โครงสร้างของมนุษย์ โดยที่จริงแล้ว ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการนั่ง ถึงจะมีอะไรดีๆ บางอย่าง แต่มันก็ยังไม่ใช่ a touch of zen ความสุขของฉัน จึงยังไม่ฉับพลัน ยังคล้ายจะเป็นของปลอม

แต่สี่วันที่ฉันใช้ชีวิตในตราด ร่างกายของฉันได้ออกเดินทุกวัน มันกลายเป็นปัจจุบัน

และความเป็นปัจจุบัน กลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งของ a touch of zen

ความแปลกคือ a touch of zen เกือบไม่มีเงื่อนไข มันไม่มีเหตุผล ไม่มีที่มา มันเหมือนความว่างเปล่า แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว มันคล้ายจะอธิบายได้ แต่ก็แค่นิดเดียว หากเราคิดมากไป มันก็ไม่ใช่

คำอธิบายที่เราเคยอ่านในหนังสือ มันมากไป มันเกิดขึ้นซ้ำซาก จนหมดความหมาย อันนี้ไม่ใช่ความผิดของคนพูด แต่เป็นความผิดของตัว a touch of zen เอง ที่ไม่อาจทำซ้ำซาก จนหมดความเป็นปัจจุบัน เราเทน้ำลงในแก้วน้ำได้สักกี่แก้ว ก่อนที่มันจะหมดความเป็นปัจจุบัน

และนี่คือคำจำกัดความของความสุข

ความสุข ไม่มีเหตุผล ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีที่มา ไม่มีอดีต หรืออนาคต

แต่มันมีความฉับพลัน อยู่ตรงนั้น และกำลังพอดี

ขณะที่ฉันเดินอยู่ ฉันเห็นหญิงอ้วนคนหนึ่งเดินมา กิริยาท่าทางของเธอ ทำให้ฉันรู้สึกทันทีที่ตามองเห็นเธอ ฉันก็รู้สึกถึงปัจจุบัน กล่าวคือ มีความสุข มีความพอใจ มีความพอดี

แต่ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง

ไม่ใช่เพราะเธออ้วน

ไม่ใช่เพราะเธอกำลังเดิน

หากแยกมันออกมา ก็ไม่ใช่สักสิ่ง

แต่รวมกัน ก็ยังไม่พออีก ต้องรวมกับห้วงเวลาขณะนั้นพอดี ที่สัมผัสได้ และความสุขก็ปรากฏขึ้น

นี้คือ a touch of zen

เพราะมันไม่มีเงื่อนไข ไม่มีที่มา ไม่มีเหตุผลนี่เอง มันจึงคล้ายง่าย คล้ายยาก แต่มันมีอยู่จริงๆ และมันนี่แหละ คือความสุข มันโลว์เทค และไม่ได้ต้องการพึ่งพาสิ่งใดเลย

สังเกตว่า ผู้หญิงอ้วนที่เดินมานี้ ไม่ได้ต้องการไฮเทค หรือสิ่งอื่นใดเลย

ฉันเดินอยู่ และได้กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ทันใดนั้นเอง เพราะฉันก็ไม่ได้คาดหวัง มันก็เกิด a touch of zen

๗ ฉันเดินข้ามสะพานไม้แห่งหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่นั่นเอง ฉันสังเกตเห็นงูตัวหนึ่งกำลังเลื้อยไปตามขอบสะพานอย่างรวดเร็ว มันพยายามเลื้อยหนีออกไปจากตัวฉัน ในขณะที่ฉันเมื่อเห็นมันแล้ว ก็พยายามเดินห่างออกไปจากตัวมัน งูมันกลัวคน ส่วนคนก็กลัวงู เราต่างฝ่ายต่างกำลังข้ามสะพานไม้นี้

หากงูตัวนี้เลื้อยเข้ามาในบ้านของฉัน หรือเลื้อยเข้ามาในห้องนอนของฉัน คงเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง แต่บนสะพานไม้ข้ามลำคลองนี้ ฉันมีความสังเวชใจ ไม่มีความคิดใดที่จะไปทำร้ายงูตัวนี้เลย มันช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารัก น่าสงสารอะไรอย่างนั้น เราต่างคนต่างเดิน ไปตามทางของเรา ในโลกกว้างนี้

ความรู้สึกรักและสงสารนี้ ก็เป็น a touch of zen

ฉันรู้สึกถึงความสุข และมันฉับพลัน

ฉันกับงูข้ามสะพานไม้ และในขณะนั้น มันพอเพียง ฉันไม่ได้กังวลใจ ว่าโลกนี้จะดับในวันพรุ่งนี้ เพราะความเป็นปัจจุบันนั้น มันมีค่าเป็นนิรันดร

ฉันให้คะแนนจิตของตัวเอง สัก ๗ เต็ม ๑๐ คือจิตของฉันยังไม่อาจเทียบกับคนบางคน ที่ควรได้ ๙ หรือ ๑๐ ซึ่งหมายถึงจิตของคนที่ใสดั่งกระจก ทุกอย่างกระจ่างชัด สะท้อนทุกสิ่งที่มาตกกระทบ คนแบบนั้น คือคนที่มีความเป็น a touch of zen สูงกว่าตัวฉัน ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร

แต่สำหรับตัวฉัน จิตของฉันก็เหมือนทะเลสาบชนิดหนึ่ง ที่ใสสะอาดพอควร เป็นน้ำใส ดื่มกินได้ ที่แน่ๆ มันไม่ใช่น้ำเน่า ไม่ใช่ลำคลองสีดำสนิท มันเป็นทะเลสาบใส อาจบางครั้งมีสาหร่ายบ้าง มีความขุ่นมัวบ้าง มีคนเคยบอกว่า จิตของฉันเหมือนก้อนเมฆบนฟ้า มีบางครั้งก็ขุ่นบ้าง บางครั้งก็สดใส

ชีวิตของฉัน ต้องเอาทุกอย่างมารวมกัน เช่น แปดวันที่ผ่านมา ฉันใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ๔ วันและที่ตราด ๔ วัน ช่วงเวลาที่กรุงเทพฯ ก็นับด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันต้องทำงานบางอย่าง และศึกษาบางสิ่ง ส่วนอีกสี่วันในตราด ฉันก็ศึกษาเช่นกัน แต่ในอีกสิ่งหนึ่ง ฉันศึกษาสิ่งที่เป็นพื้นฐานกว่า

คนรุ่นใหม่ ที่คิดจะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปี และคิดจะมีความรู้เท่าทันเทคโนโลยี พวกเขายังไง ก็มีความสุขไม่ได้ หากพวกเขาไม่มี a touch of zen

ความสุขไม่ใช่เหตุผล ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความก้าวหน้า ไม่เกี่ยวกับเงินทอง อำนาจ

ความสุขคือความสุข

คนรุ่นใหม่เพลินกับเทคโนโลยี ความสุขของพวกเขาจึงมองข้ามสิ่งที่เป็นโลว์เทค อย่างตะเกียบ

หากคนรุ่นใหม่ มีความสุขดั่งตะเกียบ เขาก็คือคนที่มีความสุข เขาคือคนที่เข้าถึง a touch of zen โดยไม่ต้องกลัวว่าจะล้าสมัย แม้เขาจะล้าสมัยเพียงใด

เพราะตะเกียบ ที่จริงเป็นสุดยอดของโลว์เทค มีมาช้านานแล้ว แต่มันก็ยังสมบูรณ์แบบ

คุณจะเอาอะไรมาแทนที่ตะเกียบล่ะ

อะไรที่ดีกว่า