ทราย เจริญปุระ | “–พวกท่านไม่อยู่แล้ว”

“–พวกท่านไม่อยู่แล้ว”

1.มันต้องอาศัยการตื่นก่อนคนอื่น

สำหรับเด็กนั้น ยามเช้ามาช้าเกินไป แต่กลางคืนกลับย่างเท้ารวดเร็ว

แต่การตื่นก่อนคนอื่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ฉันไม่เคยได้ตื่นเป็นคนแรกในบ้านไม้หลังนั้นแม้สักครั้ง

ทุกครั้งที่ลืมตา ถ้าไม่มีเสียงยายทำอะไรก๊อกแก๊กอยู่ใต้ถุน ก็จะเห็นเงาสูงๆ ของตาสวมหมวกปีกใบเดิม และที่รู้ได้โดยไม่ต้องเห็นในภาพเงานั้น ก็คือตาต้องถือกระแป๋งในอีกมือหนึ่ง ซึ่งฉันเห็นตาจะเอาติดตัวไปด้วยเสมอ

ถ้าไม่มีอาหารไก่ในนั้น ก็เป็นอาหารปลา บางวันก็มีกาบมะพร้าวในนั้น ซึ่งก็จะเป็นที่รู้ว่า เราจะได้กินปลาดุกย่างตัวโต เนื้อเหลืองนวลฟู ที่เผาจากกาบมะพร้าวแห้งด้วยฝีมือของตา

แต่การตื่นเช้าของฉันนั้นจะให้ใครอื่นทำแทนไม่ได้ ฉันต้องลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งที่เป็นเสื้อเก่าของตา แล้วค่อยวิ่งไปหน้าบ้านทันทีที่แสงแรกจับขอบฟ้า

ฉันเป็นคนไม่มีของเล่นที่จะเรียกได้ว่าเป็น “ของเล่น” อย่างจริงจังมากนัก ตุ๊กตาหรือ…นี่ไงล่ะ แค่นี้ฉันก็นึกไม่ออกแล้วว่านอกจากตุ๊กตาแล้ว ของเล่นเด็กๆ ควรจะมีอะไรอีก

ฉันกับน้องสองคนแบ่งปันก้อนกระดาษขยำจนกลม แล้วพันทับด้วยกระดาษกาวสีอ่อน เขียนหน้าเขียนตาให้มัน แล้วก็เล่นด้วยกัน

ก้อนหนึ่งชื่อต๋องต๋อง อีกก้อนชื่อปั๋งปั๋ง

นึกไม่ออกว่าคนเราจะสนุกกับก้อนกระดาษแบบนั้นได้แบบไหน แต่มาถึงทุกวันนี้ ฉันกับน้องก็ยังจำเพื่อนวัยเยาว์ชื่อต๋องต๋องกับปั๋งปั๋งได้แม่น

ช่วงที่เราจะได้ห่างจากเพื่อนกระดาษเหล่านั้นก็คือช่วงปิดเทอมใหญ่ที่เราได้ไปอยู่บ้านตายายที่อ่างทอง

พูดแล้วก็เหมือนการสร้างความหวานชื่นเกินจริงให้กับความทรงจำ

แต่ฉันว่าเพราะความเป็นเด็กนั่นแหละ ที่ทอนรสขมทุกอย่างในชีวิต

เราตื่นกันแต่เช้า น้ำค้างยังไม่แห้งจากต้อยติ่งริมทาง

เก็บแต่เม็ดดำๆ แก่ๆ มีบ้างยังไม่ทันเด็ดก็ชื้นน้ำค้างจนแตกเป๊าะคามือ

เสื้อยืดตัวเก่าผ้านุ่มมีประโยชน์ตรงนี้ เพราะกำมือเราไม่เคยใหญ่พอกับจำนวนที่เก็บได้

และถ้ากำแน่นเกินไป ก็จะเกิดโศกนาฏกรรมที่เม็ดต้อยติ่งแตกกระจายคาอุ้งมือ

ดึงชายเสื้อออกมารองเม็ดต้อยติ่งต่างกระเป๋า ผ้าเก่านั้นซับความชื้นน้ำค้างได้ดี

เก็บจนสุดทางริมคลองส่งแล้วก็พอ เอาหนังยางมัดชายเสื้อที่ห่อต้อยติ่งไว้ในนั้น

แล้วขากลับค่อยมองหาหญ้ากระจุกโตๆ ที่ขึ้นรวมกันเป็นหัวใหญ่ๆ เด็ดมาทำไก่ไว้ตีเล่นกัน

2.”สวนสัตว์กระดาษและเรื่องสั้นอื่นๆ” เป็นผลงานรวมเรื่องสั้นจากฝีมือเคน หลิว ที่ผสานความเชื่อตำนานจีนเข้ากับวรรณกรรมไซไฟ

แต่บางทีฉันกลับรู้สึกว่าแต่ละเรื่องนั้นล้วนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

มีอยู่จริงในวันที่ผ่านมา

ไม่ใช่ฉากในอนาคตแบบที่หนังสือพยายามทำให้เราเชื่อ

ทั้งเรื่องของนางปีศาจที่แปลงร่างเป็นโฉมสะคราญเพื่อหลอกมนุษย์ นักล่าปีศาจเร่ร่อน กลุ่มนักฉกข้อมูลออนไลน์ ลูกสาวของสายลับ ชายชราผู้ทำนายจากตัวอักษร

แต่เรื่องที่ติดในใจฉัน ก็คือเรื่องสั้นชื่อเดียวกับหนังสือ

-สวนสัตว์กระดาษ-

มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เป็นเรื่องของแม่และลูกชายที่ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งห่างกัน ความไม่เข้าใจนั้นยืดยาวกั้นกลางความสัมพันธ์

ภาษาและเชื้อชาติของแม่กลายเป็นปราการกั้นขวางคนทั้งสอง

กระทั่งวันที่สายเกินไปและเขาได้ค้นพบความจริงในฝูงสัตว์กระดาษที่แม่เขาเคยเป่าลมหายใจแบ่งลงไปเป็นของเล่นให้ลูกชาย

มันคือเรื่องที่ถูกเล่า ฉายซ้ำ เขียนต่อมาแล้วเป็นพันพันครั้ง

และหากนับรวมกับความเป็นจริง

ภาพชีวิตนี้คงถูกทำซ้ำเกินจำนวนจะนับได้

3.”แมวหนูชื่อมิโล” เสียงเจื้อยแจ้วจากเพลิน, หลานสาวคนโตของฉัน แนะนำตุ๊กตาที่อยู่ในมือให้ฉันได้รู้จัก

“แมวป้าทรายชื่ออะไร แนะนำตัวสิคะ?” พูดแล้วก็ยื่นมิโลไปตรงหน้าโมโม่, แมวส้มของฉัน ซึ่งไม่คุ้นกับใครทั้งนั้นนอกจากฉันที่อุ้มมันมาเลี้ยงจากบ้านแมวจร

โมโม่ร้องยาวๆ อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะจัดการอย่างไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆ ตรงหน้า หรือก้อนดำๆ ที่มีหูยื่นมานิด ปักสีขาวเข้าเป็นตากับจมูกอีกหน่อย ที่แกว่งอยู่ตรงหน้า

“เธอชื่อแง้วใช่มั้ย ฉันจะเรียกเธอว่าแง้วนะ” หลานสาวฉันยังคงตั้งหน้าคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งกับแมว แน่นอนว่าเด็กวัยนี้อยากมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง แต่น้องสาวฉันก็หาทางออกแบบมีความสุขทุกฝ่ายได้

ด้วยการบอกลูกสาวว่าแมวของฉันก็คือแมวของหนูนั่นล่ะ เราแค่ฝากป้าทรายเอาไว้ และหนูจะมาหามันเมื่อไหร่ก็ได้เลยนะ

“เดี๋ยวคืนนี้ออกเดินทางละ พี่ทรายจะเอาอะไรที่ดิสนีย์แลนด์มั้ย?” น้องสาวหันมาถามฉัน ระหว่างให้ลูกเล่นกับแมว

ไม่เอาหรอก, ฉันปฏิเสธ ให้เที่ยวกันให้สนุกพ่อ แม่ ลูกน่ะดีที่สุด

น้องสาวฉันก็ถูกเลี้ยงมากับฉันนี่ล่ะ

เราเล่นต๋องต๋องกับปั๋งปั๋งกัน กระซิบกระซาบแบ่งปันความลับใต้โปงผ้าห่ม

และรอวันที่จะมีอะไรให้ได้เล่นมากกว่าการเดินเก็บเม็ดต้อยติ่งยามเช้า

4.ฉันอ่านหนังสือรวมเรื่องสั้นนี้จนจบเล่ม ประทับใจหลายเรื่อง แต่ส่วนหนึ่งก็ยังวนเวียนกลับไปที่เรื่องสวนสัตว์กระดาษ

-ไม่เอาน่า- ฉันคิด -เรื่องนี้เล่ามากี่รอบแล้ว ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเลย

ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย มันคือความหมายเดียวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยหรือเปล่านะ

บางทีมันก็ง่ายและสำเร็จรูปดี ที่ฉันจะคิดว่าอะไรต่างๆ ในชีวิตที่ฉันต้องเผชิญอยู่นั้นล้วนมาจากแม่

ทุกวิธีคิด ทุกการตัดสินใจ นิสัยเสียๆ และความเจ้าคิดเจ้าแค้น

แต่เอาเข้าจริงก็ต้องบอกว่ามันมีที่มาทั้งจากแม่และไม่ใช่จากแม่

เพราะบางทีชีวิตก็ยื่นโจทย์แปลกๆ มาให้ และเราซึ่งนั่งโง่งมอยู่ตรงนั้นก็มีหน้าที่แก้โจทย์ให้ได้ดีที่สุดเท่าที่เครื่องมือเราจะอำนวย

เครื่องมือซึ่งแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน วิธีการหยิบใช้ก็ต่างกัน

แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมออกมาต่างกัน

เราแค่คิดว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เก่งกว่านี้ คล่องแคล่วกว่านี้ เจ็บปวดน้อยกว่านี้

แต่ก็นั่นแหละ, กว่าเราจะรู้ว่า เอาเข้าจริงมันก็มีไม่กี่วิธีที่ใช้รับมือกับชีวิต

และไม่มีวิธีที่ถูกต้องที่สุดด้วยซ้ำ

มีแค่ว่านาทีนั้นเราทำอะไรได้บ้าง

เม็ดต้อยติ่งอันแสนเปราะบางนั้นอาจจะชื้นน้ำค้างเกินไปจนพร้อมใจกันแตกตัว

หรือมันอาจจะถูกเสื้อเก่าๆ ที่ฉันใส่ซับน้ำจนแห้งผากตายซาก

ฉันก็ไม่รู้หรอก

มันเป็นเรื่องลึกลับไร้คำตอบที่เราไม่เคยสนใจจำ

อีกหนึ่งคำถามในชีวิตที่ถูกทิ้งค้างไว้ริมทาง

รอบางวันเช่นวันนี้, วันที่สวนสัตว์กระดาษพาฉันกลับไปมองหามันอีกครั้ง

“ลูกโตขึ้นมาอีกนิด ตอนนี้ลูกช่วยให้พ่อกับแม่คุยกันเข้าใจได้แล้วด้วยซ้ำ แม่สบายใจเหลือเกิน ในที่สุดแม่ก็มีชีวิตที่ดีแล้ว

แม่อยากให้ตากับยายของลูกอยู่ที่นี่ด้วย แม่จะได้ทำอาหารให้และมอบชีวิตที่ดีให้พวกท่านเช่นกัน

แต่พ่อกับแม่ของแม่ไม่อยู่แล้ว ลูกรู้ไหมว่าคนจีนเราเห็นว่าความรู้สึกที่เศร้าที่สุดในโลกคืออะไร?

มันคือความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่โตพอจนนึกอยากจะดูแลพ่อแม่ของตน

เพียงเพื่อจะตระหนักว่าพวกท่านไม่อยู่แล้ว–“*

“สวนสัตว์กระดาษและเรื่องสั้นอื่นๆ” เขีบนโดย เคน หลิว แปลโดย ลมตะวัน ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ SALT มีนาคม, 2562

*ข้อความจากในหนังสือ