อุรุดา โควินท์ / อาหารไม่เคยโดดเดี่ยว : กลิ่นกะหรี่

“ฮาบ่อเข้าใจ๋เลย ด่ากะหรี่มันเจ็บตรงไหน” แมวเปิดประเด็นระหว่างรอฉันทำแกงกะหรี่

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่เชียงราย ก็มีเพื่อนเก่ามาเยี่ยมพอให้อุ่นใจ ฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แถมไม่ค่อยลงรอยกับแม่ ได้เห็นหน้าเพื่อน ค่อยเกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่นี่ขึ้นมาบ้าง

ฉันอยู่มาหลายจังหวัด เหมือนคนไร้ราก ล่องลอยบนโลก หยุดอยู่ตรงไหน ก็พิจารณาสถานที่และผู้คน ว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง ควรจะอยู่อย่างไร และหากต้องจากมา ก็ปราศจากความอาวรณ์

บางทีบ้านของฉันอาจไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นความรัก เช่น คนรัก หมา งาน เพื่อน จังหวะชีวิตพาฉันเดินทางไปตรงนู้นตรงนี้ กว่ายี่สิบปี จึงได้กลับมาอยู่ในบ้านเกิด ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจ อยู่ นั้น จะหมายถึงกี่ปี

ไม่มีบ้านของตัวเอง จากมุมหนึ่ง เหมือนคนไม่มีหลักฐาน ไม่มีความมั่นคง แต่จากมุมของฉัน มันคืออิสรภาพชนิดหนึ่ง อยู่แล้วไม่สบายใจ มีปัญหาแก้ไม่ตก หรือมีเหตุจำเป็นต้องย้าย ก็โบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม

จิ๋วกับแมวทำให้ฉันรู้สึกถึงบ้านและวัยเยาว์ขึ้นมาพร้อมๆ กัน

 

“คิงว่าก่อ กะหรี่ยังเป็นแกงเลย ด่ากะหรี่ไม่ได้สิ แล้วก็ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นได้นะ กะหรี่เนียะ” แมวถาม

ฉันหัวเราะทั้งกำลังหั่นผัก

ใช้หอมหัวใหญ่สองหัว แคร์รอตหนึ่งหัว และมันฝรั่งสามหัว ทั้งหมดหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่หมูด้วย ใช้สันในเพื่อความนิ่มแบบไร้ไขมัน หั่นเต๋าเล็กเหมือนกัน

“แม่นล่ะ” จิ๋วตอบแทนฉัน “แมว…คิงบ่อต้องถามอีพู ถามฮานิ”

“คิงไค่เปนก๊ะ” แมวกลับไปเป็นแมวตอน ม.4

ผู้ใหญ่ที่ไหนกัน จะถามเพื่อนว่าอยากเป็นกะหรี่เหรอ

“ยามน้อย แม่ชอบด่าฮา จะไปแอ่วนัก ใหญ่มาจะได้ขายนาผืนน้อยกิ๋น” จิ๋วเล่าเรื่องเก่า

ใบหน้าแม่ของเธอลอยมา แม่เธอทำแกงโฮะอร่อยมาก เป็นหญิงแกร่งผู้เลี้ยงลูกสามคนด้วยการทำนาทำสวน ไม่แปลกที่แม่จะดุจิ๋ว ที่มัวแต่เที่ยว ไม่ช่วยแม่ทำงาน

“แล้วคิงว่าใด” แมวถาม

“เดวก่อนก๊ะ ฮาถามแม่หื้อแล้วใจ๋ก่อน… แม่ว่าน้องเป็นกะหรี่กาจ้าว” พูดแล้วจิ๋วก็หัวเราะฮึ ฮึ

คราวนี้ฉันเห็นแม่เธอยกมือเท้าเอว ตอบลูกหนักแน่น เออ

แม่ต้องตอบอย่างนี้ล่ะ พอเดาได้ ฉันไปขอข้าวแม่กินจนแทบจะเป็นลูกสาวแม่อีกคน

“รอแม่พยักหน้างึกๆ ฮาก็เลยว่า แม่ไปอู้จะอั๊น น้องจะได้เป็นแต้บ่อแต้ ก็บ่อฮู้เตื้อ” จิ๋วเล่า

คราวนี้ฉันปล่อยก๊าก

 

จิ๋วมีพรสวรรค์ทางอารมณ์ขัน เธอทำให้ทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องตลกได้ทั้งสิ้น แม่ดุว่าเที่ยวมากไป โตมาจะได้เป็นกะหรี่ เธอยังบอกว่า แม่อย่าไปพูดอย่างนั้น หนูจะได้เป็นจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้

“ความฝันอีพูคือเป็นนักเขียน ส่วนมึงคือเป็นกะหรี่โนะ” แมวย้ำ

“ไม่ได้ตามฝัน น่าสงสารจริง” ฉันทำเสียงหวาน “ไม่เป็นไร กินแกงกะหรี่แทน กะหรี่ญี่ปุ่นด้วยนะ” ฉันหันไปยิ้มให้จิ๋ว ก่อนเดินไปหยิบกล้วยหอมกับแอปเปิลเขียว สองอย่างนี้ฉันจะสับปนกันให้ละเอียดยิบ โดยใช้แอปเปิลครึ่งลูกกับกล้วยหอมหนึ่งลูกเล็ก

“ไม่อยากเป็นบ้างเหรอ” แมวถามฉัน “คิงเป็นได้นะ ฮาว่า” แมวทำเสียงจริงจังเกินเบอร์ไปมาก

ฉันเดินไปถามเขาใกล้ๆ “คิงชมฮาอยู่แม่นก่อ”

แมวกับจิ๋วหัวเราะพร้อมกัน วันนี้ครัวครื้นเครงดีจริง ฉันหยิบกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปหน่อย รอให้กระทะร้อน ก็เอาหมูกับหอมหัวใหญ่ลงผัดพร้อมกัน

ผัดให้หอมใหญ่ใส หมูสุก ฉันจึงเทมันฝรั่งกับแคร์รอตลงกระทะ ผัดต่อให้ร้อน ไม่ต้องถึงกับสุก ก็เปิดเตา

เทของจากกระทะลงหม้อ เติมน้ำแค่พอท่วม ตั้งไฟแรง พอน้ำเดือดก็เบาเป็นไฟอ่อน แล้วใส่กล้วยกับแอปเปิลสับลงไป เคี่ยวต่อราว 30 นาที

ระหว่างนั้น ฉันกดหม้อหุงข้าว แล้วมาร่วมวงสนทนา ว่าด้วยหัวข้อความฝันในวัยเยาว์ของพวกเรา

 

ตอนเป็นวัยรุ่น เรามักตื่นด้วยความรู้สึก-วันนี้ต้องมีอะไรดีๆ แน่เลย เราคิดว่าชีวิตที่ดีอยู่แล้วมันต้องดีได้อีก ดีขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง ฉันไม่ใช่เด็กที่มีความฝันเป็นพิเศษ ฉันรู้แต่ว่า ฉันไม่ชอบวิทยาศาสตร์ ไม่ชอบเรียนเลข ฉันชอบแต่งตัวสวยๆ และชอบดอกไม้

เพื่อนเข้าใจผิดที่คิดว่าฉันอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็ก เปล่าเลย ทักษะการเขียนอยู่กับฉันโดยไม่รู้ตัว ฉันก็แค่ชอบเขียนบันทึก เขียนจดหมายรัก ถึงวันหนึ่งฉันพบว่า การเขียนเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ฉันลองทำอย่างจริงจัง พอได้เห็นว่ามันเชื่อมโยงกับคนอ่านอย่างไร ฉันก็ตระหนักถึงคุณค่าของการเขียน

ฉันเล่าให้จิ๋วกับแมวฟัง โดยจบที่ประโยค “แล้วคุณค่านั้นก็กลายเป็นความรัก พอเป็นความรัก ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะอยู่ในนี้” ฉันวางมือบนหน้าอก

“ทั้งหมดทั้งสิ้น ฮาว่าคิงอย่าเป็นเลยกะหรี่ เขียนหนังสือดีล่ะ” แมวสรุป

“แล้วแกงใกล้ได้ยัง มันต้องรอนานอย่างนี้เลยเหรอ” จิ๋วถาม

“รอให้ผักนิ่ม ใส่เครื่องแกงกะหรี่ ปรุงรสเพิ่มก็กินได้” ฉันตอบ

เดินไปที่เตา ผักสุกและเริ่มนิ่ม น้ำงวดลงนิดหน่อย ฉันใส่เครื่องแกงกะหรี่ญี่ปุ่นลงหม้อห้าก้อน คนให้เครื่องแกงละลาย คราวนี้น้ำแกงกลายเป็นสีน้ำตาล มีความข้น แถมส่งกลิ่นคลุ้งครัว

“กะหรี่มันต้องอย่างนี้ ต้องมีกลิ่น” แมวว่า

ปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ และพริกไทยดำ แอบใส่พริกแห้งป่นนิดหน่อย

ฉันปิดเตา ตักข้าวใส่จานก้นลึกสามจาน ตักแกงราดปริมาณพอๆ กับข้าว

แล้วเราก็กินแกงกะหรี่ด้วยกัน จิ๋วบอกตั้งแต่ตอนโทร.มาว่าอยากกิน

เธออยากกินแกงกะหรี่ไทย แต่บังเอิญว่าแม่ค้ากะทิไม่มาขาย ฉันก็เลยกลับลำเป็นแกงกะหรี่ญี่ปุ่น

ดูจากอัตราความเร็วในการกินของเธอ ฉันก็สบายใจ จะเป็นไทยหรือญี่ปุ่น จะใส่กะทิหรือไม่ ขอให้นับเป็นแกงกะหรี่ ย่อมถูกใจเธอ