ชะตาชีวิต “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” โดมิโน่ “บิ๊กโจ๊ก” อาฟเตอร์ช็อก “รบ.แห่งชาติ”

ท่ามกลางข้อเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่มีหลายสูตร ทั้งที่มี “บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และสูตรที่ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

ส่งผลให้มีการเล็งชื่อ “นายกฯ คนกลาง” หรือ “นายกฯ สำรอง” ขึ้นมา

โดยมีการกล่าวถึง 4 องคมนตรีด้วย

เริ่มต้นจาก “เทพไท เสนพงศ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอชื่อนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี อดีต ผอ.ศอ.บต. ที่เคยผ่านงานการปกครองมาก่อน, พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี อดีต ผบ.ทบ. พร้อมพ่วงชื่อนายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการอังค์ถัด (UNCTAD) และนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนกลาง

โดยเทพไทให้น้ำหนักที่ชื่อนายพลากรมากที่สุด เพราะเป็นพลเรือน ไม่ติดภาพทหาร จึงเชื่อว่าต่างชาติจะยอมรับได้มากกว่า

ก่อนหน้านี้ไม่นาน “ไทกร พลสุวรรณ” อดีตแกนนำกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณก็ได้เสนอชื่อ 1 องคมนตรีออกมา คือ นายอำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการสภาพัฒน์-เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

หากย้อนไปอีก ชื่อที่ถูกพูดถึงยังมี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี อดีต รมว.ยุติธรรม รวมอยู่ด้วย

ทว่าในแวดวงนักการเมืองส่วนใหญ่ ก็ให้น้ำหนักไปที่ชื่อ “พลเรือน” แต่ไม่ได้เจาะจงเฉพาะไปที่รายชื่อใด รวมทั้งมีการมองภาพหลังวันที่ 9 พฤษภาคม ว่าโอกาสเกิดขึ้นของ “รัฐบาลแห่งชาติ” มีความเป็นไปได้เช่นกัน

โดยมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 และเซ็ตซีโร่ระบบเลือกตั้งใหม่

อนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องได้รับการจับตาไม่น้อย แน่นอนว่าตลอด 5 ปี คสช.นั้นผ่านมาหลายบทพิสูจน์ แต่ก็ยังมีบทพิสูจน์ที่ไม่สิ้นสุด ว่าทั้งหมดที่ คสช.ทำลงไปจะ “เสียของ” หรือไม่?

คะแนนเสียงที่พรรคพลังประชารัฐได้รับจากการเลือกตั้ง บ่งบอกว่ามีคนไม่น้อยจ้อง “จองกฐิน-รอเช็กบิล” บิ๊กตู่อยู่ โดยเฉพาะจากขั้วต้าน คสช.

หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ต่อ ก็คงต้องเผชิญกับปัญหา “รัฐบาลผสมเสียงปริ่มน้ำ” คือได้เก้าอี้ในสภาล่างเกิน 251 ที่นั่งไม่มากนัก จนไร้เสถียรภาพ

หรือหากเกิด “รัฐบาลแห่งชาติ” ขึ้นจริง การจะนำชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็น “นายกฯ คนกลาง” ก็คงเกิดคำถามเรื่องความชอบธรรม-การยอมรับตามมา

ทั้งนี้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์หลุดพ้นจากสนามการเมืองไป ก็ต้องจับตาว่าจะมีตำแหน่งอื่นใดรองรับหรือไม่? เพื่อเป็นจุดป้องกันคน “จองกฐิน-เช็กบิลย้อนหลัง” หรือว่าบิ๊กตู่จะกลับบ้านไปเพื่อพักผ่อนแบบเงียบสงบ

ทุกอย่างคงชัดเจนขึ้นในเดือนพฤษภาคม ที่จะเริ่มมีกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ดี เริ่มมีเสียงตอบโต้จากฝั่งพลังประชารัฐ เช่น “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่ระบุว่าแนวคิดรัฐบาลแห่งชาติคือ “แผนสกัด” พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่สอง

อีกเหตุการณ์ที่สร้างความปั่นป่วนให้แก่ คสช.อยู่ไม่น้อยคือปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต ผบช.สตม. ถูกโยกเข้ากรุไปนั่งทำงานใน ศปก.ตร. ก่อนจะมีคำสั่ง ม.44 ให้โอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ประจำสำนักนายกฯ

หลายคนยังคงสงสัยถึงสาเหตุซึ่งทำให้บิ๊กโจ๊กโดนย้ายจนแทบจะหมดอนาคต หลังการประชุม ก.ตร. สัปดาห์ก่อน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุเพียงว่า ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ย้อนหลัง เพราะเรื่องมันจบไปแล้ว

ส่วนนายตำรวจคนดังถูกคำสั่งย้ายเพราะสาเหตุใดนั้น ถ้าอยากรู้ให้ไปถามกันเอง

มีหลายฝ่ายคาดเดาว่าภาวะตกอับของบิ๊กโจ๊กอาจกลายเป็น “โดมิโน่” ที่ส่งผลกระทบถึง คสช. เพราะทุกคนต่างทราบกันดีว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เป็นนายตำรวจใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร

หลังเกิดข่าวกรณีบิ๊กโจ๊กเมื่อวันที่ 5 เมษายน พล.อ.ประวิตรจึงทำตัวโลว์โปรไฟล์ ไม่ให้สัมภาษณ์สื่ออยู่ระยะหนึ่ง

แต่รอยยิ้มของ พล.อ.ประวิตรที่ผลิบานในบ้านสี่เสาเทเวศร์หลังเข้ารดน้ำขอพร “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อวันที่ 10 เมษายน ก็อาจตีความได้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดกรณีบิ๊กโจ๊กนั้นเริ่มผ่อนคลายลง

ส่วนอนาคตของบิ๊กโจ๊กจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องจับตาดูกันยาวๆ เพราะทุกฝ่ายทราบกันดีว่า พล.ต.ท.หนุ่มรายนี้มีความสามารถสูงและมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่กว้างขวาง

แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้น พร้อมๆ กับกรณี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ก็คือ ปัญหาสุขภาพที่ พล.อ.ประวิตรไม่สบาย มีอาการท้องเสียและอ่อนเพลียจนต้องให้น้ำเกลือ

หากย้อนดูในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา บิ๊กป้อมมักมีปัญหาเรื่องสุขภาพบ่อยครั้ง จนนายทหารที่สนิทสนมต่างพูดตรงกันว่า “ห่วงสุขภาพนาย”

บางคนถึงกับอยากให้นายได้พักผ่อน และไปเล่นบท “กองหนุน” ช่วย พล.อ.ประยุทธ์อยู่ข้างหลังฉากแทน

จึงเกิดคำถามว่า ด้วยข้อจำกัดทางด้านร่างกาย พล.อ.ประวิตรจะทำงานการเมืองต่อหรือไม่ ในกรณีที่พรรคพลังประชารัฐหนุนบิ๊กตู่ขึ้นเป็นนายกฯ ได้สำเร็จ

ทำให้มีการมอง “ชื่อสำรอง” ซึ่งจะมาทำหน้าที่แทน พล.อ.ประวิตร บนเก้าอี้ รมว.กลาโหม โดยมีการมองไปถึงอดีตนายทหารที่เคยทำงานในกระทรวงกลาโหมมาก่อน และเป็นสมาชิก คสช.

อีกทั้งต้องเป็นผู้ที่ “2 ป.บูรพาพยัคฆ์” อย่าง พล.อ.ประวิตร-พล.อ.ประยุทธ์ไว้วางใจ

ระยะหลังมานี้ พล.อ.ประยุทธ์มักแสดงความห่วงใย พล.อ.ประวิตรอย่างชัดเจน โดยเฉพาะภาพการเดินจับมือกัน แม้แต่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็มักจะช่วยประคอง พล.อ.ประวิตรเสมอเวลาอยู่ด้วยกัน นี่เป็นสายสัมพันธ์ของ “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกว่า 40 ปี

จึงมีการพูดว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นผู้นำรัฐบาลอีกหน เราอาจมี รมว.กลาโหมชื่อ พล.อ.อนุพงษ์

แม้ที่ผ่านมามีการมองว่า พล.อ.ประวิตรเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลทหาร แต่อย่าลืมว่าพี่ชายคนนี้คือผู้ที่เป็น “เกราะคุ้มกัน” พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.ในหลายเรื่อง

ขณะนี้เมื่อ คสช.กำลังจะลงจากหลังเสือ และอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ จึงเห็นได้ว่า “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” พยายามโลว์โปรไฟล์ตัวเองลงไปมาก

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองก็ทำให้ “3 ป.” รับรู้ถึงบทบาท-ท่าทีของตัวเองเป็นอย่างดี ว่าควรจะทำตัวอย่างไรใน “เซฟตี้โซน”

ต้องยอมรับว่าสามผู้นำแห่งบูรพาพยัคฆ์ยังมีความสัมพันธ์แนบชิดกับ ผบ.เหล่าทัพรุ่นปัจจุบัน เห็นได้จากการที่ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ออกมาตอบโต้พรรคการเมืองที่เป็นขั้วต้าน คสช. จนเกิดวาทะ “ซ้ายจัดดัดจริต” รวมทั้งการวิจารณ์คนที่หนีคดีไปต่างประเทศ โดยไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม

พล.อ.อภิรัชต์ได้ชื่อว่าเป็น “น้องรักต่างสาย” ของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะเติบโตจาก ร.11 รอ. แต่ก็ได้รับความไว้วางใจมาอย่างต่อเนื่อง

ทุกฝ่ายจะเห็นทิศทางบ้านเมืองมากขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งบทบาท-อนาคตของ “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” และท่าทีของกองทัพ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีชื่อเป็นเต็งหนึ่งที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่หากสถานการณ์เปลี่ยน ชื่อ “นายกฯ สำรอง-นายกฯ คนกลาง” ที่ยังคลุมเครือ ก็พร้อมจะปรากฏชัดเจนขึ้นมาได้เสมอ

เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน!