ในประเทศ / Comrade in arms

ในประเทศ

 

Comrade in arms

 

แล้วที่สุด

เมื่อวันที่ 23 เมษายน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า นายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น

ทั้งนี้ ตามข้อกล่าวหาข้างต้น นายธนาธรมีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำหรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา

และมีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ ภายใน 7 วัน

นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา

 

การแจ้งมติครั้งนี้ มีขึ้นขณะที่นายธนาธรอยู่ระหว่างการเดินทางไปกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

อันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ

ทั้งนี้ เพื่อที่ประสานสัมพันธ์และตระเตรียมหากมีการร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ในอนาคต

เพราะนี่เป็นสิ่งสำคัญต่อนายธนาธร และ Comrade in arms สหายร่วมรบ อย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังเป็นเป้าหมาย “กำกัด กำจัด ขจัด” ให้พ้นจากเส้นทางการเมืองอย่างหนักหน่วง

หนักหน่วง ในฐานะที่เป็นพรรคที่เติบโตพรวดพราด ผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม เพียงครั้งนี้สามารถได้รับเลือกตั้งด้วยจำนวนมากกว่า 80 คน

หนักหน่วง ในฐานะเป็นพรรคที่ประกาศไม่ยอมรับการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต่อเนื่องไปถึงรัฐบาล กองทัพ และพรรคแนวร่วมอย่างพลังประชารัฐ

หนักหน่วง ในฐานะพรรคของคนรุ่นใหม่ ที่สร้างกระแสนิยม จนไปสร้างความหวาดกลัวให้กลุ่มอำนาจเดิม-กลุ่มอนุรักษ์ ที่วิตกว่าจะควบคุมไม่ได้ และแพร่แนวคิดอันตรายต่อสถาบันสำคัญของชาติ

พรรคอนาคตใหม่ ภายใต้การนำของนายธนาธร และนายปิยบุตร แสงกนกุล จึงเป็นเป้าหมายแห่งการทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง และเป็นกระบวนการ

 

ก่อนที่จะทราบมติของ กกต.เมื่อเย็นวันที่ 23 เมษายน

นายธนาธรที่อยู่ระหว่างการเยือนหลายประเทศในทวีปยุโรป

ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก กลับมายังแฟนคลับในประเทศไทย วันเดียวกันว่า

“(เขียนที่) ห้องสมุดเนเธอร์แลนด์ : ประชาธิปไตยคือจุดเริ่มต้นของคุณภาพชีวิตที่ดี

หนึ่งในสิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดในการเดินทางเยือนยุโรปครั้งนี้

ก็คือการจัดการเมืองของเนเธอร์แลนด์ ที่ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตสูงอย่างเท่าเทียมกัน

พยายามจะใช้เวลาเท่าที่มี ศึกษารูปแบบการบริหารจัดการประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

เตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นรัฐบาล เพื่อพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นเรื่องเดียวกับปากท้องและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน

แต่ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองไทยจะไม่เอื้อให้ผมได้ทำอะไรมากไปกว่าใช้พลังไปกับการขับเคี่ยวในเกมการเมือง

ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากเมืองไทยว่าให้รีบกลับไปเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันไม่คาดคิด

เจอกันที่ไทย”

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง กกต.ก็แจ้งมติว่านายธนาธรเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

เพราะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น

ทั้งที่นายธนาธร รวมถึงนายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้พยายามชี้แจงหลายรอบแล้วว่า ได้มีการโอนหุ้นดังกล่าวออกไปแล้ว

แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลและยังแตกเป็นประเด็นให้ “จับผิด” กันอีกหลายประเด็น

ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า กกต.จะหักดิบ มีมติแจก “ใบส้ม” แก่นายธนาธร อันหมายถึง “ดอง” กรณีนี้ไว้สอบสวน 1 ปีเลย

ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อนายธนาธรอย่างรุนแรงเพราะจะถูกถอนสิทธิ ส.ส.และไม่มีสิทธิลงเลือกตั้งอีก 1 ปี

ทำให้นายปิยบุตรต้องออกมา “ตีกัน” ด้วยการระบุว่า กรณีนายธนาธรได้เลยขั้นตอนการให้ใบส้มไปแล้ว

เพราะกระบวนการตรวจสอบกรณีของนายธนาธรตอนนี้แบ่งเป็น 3 ช่องคือ

  1. การตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งจะทำตั้งแต่วันสมัคร ถึงวันที่ 23 มีนาคม หากพบปัญหา กกต.จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งนายธนาธรผ่านมาแล้ว
  2. กรณีเลือกตั้งไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม จนถึงก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง ที่มีกำหนดว่าจะเป็นวันที่ 9 พฤษภาคม ก็จะมีการตรวจสอบการทุจริตเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การแจกใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม เป็นอำนาจ กกต.วินิจฉัย ส่วนการขัดคุณสมบัติและลักษณะต้องตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 53 ระบุว่า ใช้สำหรับ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น ขณะที่นายธนาธรลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ

และ 3. หากประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ถ้าพบ ส.ส.ที่รับรองไปแล้วขัดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามอีก ก็ต้องไปร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ไม่ใช่การจะมาแจก “ใบส้ม”

ซึ่งที่สุดนายธนาธรและนายปิยบุตรคงจะโล่งใจไประดับหนึ่ง

เมื่อ กกต.มีมติว่า แม้นายธนาธรจะมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด

แต่มีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ ภายใน 7 วัน

ทำให้ยังมีรูหายใจ

ไม่ใช่เจอใบส้มโดยไม่มีโอกาสชี้แจง

 

อย่างไรก็ตาม ถามว่า เป็นเรื่อง “หนักใจ” ของนายธนาธรหรือไม่

ก็ต้องยอมรับว่าน่าหนักใจ-หนักใจมาก

เพราะหากมีอะไรเกิดขึ้นกับนายธนาธร ย่อมสะเทือนไปทั้งพรรค เพราะต้องยอมรับว่าความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ คือ “ธนาธร-ปิยบุตร”

หากใคร “หายไป” หรือหายไปทั้งคู่ พรรคอนาคตใหม่สะเทือนแน่

และไม่ใช่กรณี “หุ้นสื่อ” นี้เท่านั้น

นายธนาธรและนายปิยบุตรยังถูกแจ้งความดำเนินคดีอีกหลายคดี

อาทิ นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ทีมงานประชาชนปกป้องรัฐธรรมนูญ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ยื่นเรื่องให้ กกต.ยุบพรรคอนาคตใหม่

โดยอ้าง นายธนาธรและนายปิยบุตรมีพฤติการณ์และทัศนคติล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการอ้างบทสัมภาษณ์ของธนาธร เรื่องการสานต่อภารกิจคณะราษฎร ความเห็นทางวิชาการของนายปิยบุตร ประเด็นมาตรา 112 ในปี 2556

ขณะที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. แจ้งความดำเนินคดีนายธนาธรเป็นภัยต่อความมั่นคง ร่วมกันทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตาม ป.อ.มาตรา 116 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี

และข้อหาที่สอง ช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ตาม ป.อ.มาตรา 189 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ฐานปี 2558 ไปให้การสนับสนุนนายรังสิมันต์ โรม และพวกกลุ่มดาวดิน และกลุ่มที่ทำกิจกรรมการเมือง

ส่วนนายปิยบุตรถูก น.ส.หฤทัย ม่วงบุญศรี หรืออุ๊ นักร้องชื่อดัง ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการกองปราบปราม ให้ตรวจสอบคลิปคำพูดของนายปิยบุตร ในงานเสวนาเรื่อง “การเมืองความยุติธรรมและกษัตริย์” ซึ่งจัดขึ้นที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556 ว่าเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงหรือไม่

และถูกฝ่ายกฎหมาย คสช.แจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ และสร้างความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน กรณีอ่านแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่กรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ

 

นั่นคือวิบากกรรมของ 2 สหายร่วมรบ “ธนาธร-ปิยบุตร” ที่ต้องเผชิญพายุการเมืองฤดูร้อน ที่โหมเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง

และเริ่มส่งผลในทางปฏิบัติ

โดยเฉพาะคดีแรก อย่างการถือหุ้นสื่อของนายธนาธร ซึ่งหากผลออกมาไม่เป็นคุณ เช่น เจอใบส้มเข้าไปก็เท่ากับถูกพักงาน

ย่อมทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่เต็มที่ จนไม่อาจสร้างผลงานหรือทำตามที่รับปากฝ่ายสนับสนุนได้

ก็ทำให้เหมือนถูกคุมกำเนิด และรอวันล่มสลาย

พร้อมกับถูกชูเป็นตัวอย่างว่า “เด็กริเล่นการเมือง” นั้นต้องเผชิญการสั่งสอนอันหนักหน่วงเพียงใด

Comrade in arms สหายร่วมรบทางการเมือง ในนามพรรคอนาคตใหม่ ในวันนี้คงไม่มีทางเลือกอื่น

นอกจากต้องผนึกกันให้แน่นและอดทน

เพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้จะถูกบดขยี้หนักเพียงใด

กระแสคนรุ่นใหม่ก็ยังคงดำเนินต่อไป

และเป็นการพิสูจน์ตามที่นายธนาธรและนายปิยบุตรประกาศไว้ตั้งแต่ย่างบาทเข้าการเมือง เมื่อมีนาคม 2561

ว่าการเข้ามาเล่นการเมืองนี้

มิใช่เรื่องระยะสั้น

มิใช่งานเฉพาะกิจ

หากแต่เป็นการบุกเบิกให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองระยะยาว

โดยหวังว่าคนรุ่นใหม่ จะ “ปักธงความเปลี่ยนแปลง” อย่างถาวร

ไม่ว่า Comrade in arms – สหายร่วมรบ “ธนาธร-ปิยบุตร” จะอยู่รอด หรือถูกทำลายลงอย่างไรก็ตาม!