ธงทอง จันทรางศุ : ดูเขาย่อยสลายขยะ

ธงทอง จันทรางศุ

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมหลบลี้หนีอากาศร้อนเมืองไทยไปเดินเล่นที่ญี่ปุ่นมาสองสามวัน

นอกจากการเดินชมดอกไม้บานยามเช้าและหาของอร่อยรับประทานแล้ว

ผมยังมีโอกาสได้ไปดูกิจการกำจัดขยะหรือการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นด้วย

อันว่าขยะนั้นมีหลายอย่าง ถ้าจะให้แต่งตำราแยกประเภทขยะก็เห็นจะได้หนังสือเล่มโตพอสมควร

สังเกตไหมครับว่าเวลานี้หลายแห่งจัดที่ทิ้งขยะแยกเป็นประเภทๆ ไป แต่เดิมมาเราก็ทิ้งขยะลงในถังขยะใบเดียว มีอะไรต่อมิอะไรก็ประเคนลงในถังขยะใบนั้นเสียทั้งสิ้น

ต่อมาก็เพิ่มเป็นสองใบ

ตอนนี้ทำท่าจะเป็นสามใบต่างสีตั้งเรียงกันเสียแล้ว แต่ละใบมีสัญลักษณ์ต่างกัน

คนทิ้งขยะต้องตั้งสติให้ดีว่า ขยะที่เราถืออยู่ในมือเป็นขยะแห้ง ขยะเปียก เป็นกระดาษหรือโลหะ จะนำไปรีไซเคิลคือแปรรูปแล้วนำกลับมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่

ทิ้งขยะตอนนี้ก็ต้องใช้สติปัญญานะครับ

เรื่องที่ผมไปดูมาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่ขยะเรื่องรายวัน

หากแต่เป็นขยะชิ้นสำคัญที่อยู่ในชีวิตของเรา นั่นคือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่กลายเป็นอุปกรณ์ยังชีพของเราไปเสียแล้ว

เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกง่ายๆ ว่าแอร์คอนดิชั่น

รวมไปจนถึงของที่ไม่อยู่ในบ้านเราแต่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือตู้ขายของอัตโนมัติ ที่ตั้งอยู่แทบจะทุกซอกทุกมุม

คนไทยเราเวลาไปพบอากาศหนาวที่เมืองนั้นยังใช้วิธีไปกดเครื่องดื่มอุ่นๆ จากตู้ที่ว่ามาถือไว้ในมือเพื่อแก้หนาวเลยครับ

ของเหล่านี้ล้วนมีขนาดใหญ่โตและจะนำไปทิ้งลงในถังขยะที่ตั้งอยู่ทั่วไปก็ไม่ได้ เมืองญี่ปุ่นจึงต้องวางระบบเรื่องนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ

เช่น บรรดาเครื่องใช้ในครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือตู้เย็น ราคาสินค้าที่ขายให้เรามาได้บวกรวมค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะเหล่านั้นไว้ด้วยแล้ว

เมื่อถึงเวลาที่สินค้าเหล่านั้นใช้งานจนหมดอายุ เป็นหน้าที่ของบริษัทผู้ผลิตจะต้องรับสินค้าเหล่านั้นกลับคืนไป แล้วนำไปเข้าโรงงานเพื่อแยกเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อะไรที่สามารถนำกลับไปหมุนเวียนใช้ประโยชน์ได้เขาก็มีวิธีจัดการที่เหมาะสมสำหรับของเหล่านั้นแต่ละประเภท

เช่น แยกทองแดงไปทางหนึ่ง แยกกระจกไปทางหนึ่ง แยกเหล็กไปอีกทางหนึ่ง

โรงงานที่ผมไปดูเขาย่อยสลายขยะเหล่านี้เขาทำงานเป็นระบบสายพาน แรกทีเดียวก็เห็นเป็นทีวีแบบโบราณเข้ามาทีเดียว กล่าวคือ เป็นทีวีที่มีข้างหลังโตๆ อวบอ้วนอย่างที่ผมเคยเห็นเคยใช้เมื่อตอนเป็นเด็ก ไม่ใช่โทรทัศน์จอแบนแบบทุกวันนี้

แล้วโทรทัศน์อ้วนๆ แบบที่ว่านี้ก็วิ่งไปตามสายพาน พนักงานคนแรกก็นำทีวีทั้งตู้ไปใส่เครื่องอบ ที่ใช้อุณหภูมิสูงพอสมควร เพื่อให้ทุกอย่างขยายตัวพองขึ้น

อบเหมือนอบขนมเลยครับ แป๊บเดียวก็เอาออกมาจากเตาอบแล้วก็ใช้มือที่ใส่ถุงมือหนาแยกส่วนสำคัญๆ ออกจากกัน

วางของที่แยกแล้วลงบนสายพานที่วิ่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง ที่มีหน้าที่โดยเฉพาะในการทำอย่างนั้นอย่างนี้แยกบทบาทกันไว้

ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที “โทรทัศน์” ก็ไม่เหลือรูปร่างเดิมอีกต่อไป

สอบถามดูจากเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เขานำชมการทำงานของโรงงานนี้ คุณเธอบอกว่า ด้วยการทำงานอย่างนี้ โทรทัศน์เก่าหนึ่งเครื่องที่ไม่ใช้งานแล้วจึงไม่ได้สูญเปล่า

เพราะสามารถแยกเป็นชิ้นส่วนเล็กน้อยแล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้แทบทั้งสิ้น

กลับมาจากญี่ปุ่นได้เพียงไม่กี่วันผมก็เดินทางไปธุระที่หาดใหญ่

ที่เมืองนี้ผมได้พบเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เพราะเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมปีที่ห้าด้วยกันที่สาธิตปทุมวัน ตอนนี้ต่างคนต่างเกษียณแล้ว

เพื่อนรายนี้มีอาชีพเป็นหมอ เรื่องที่คุยกันจึงหนีไม่พ้นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย

แล้วเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ โดยใช้อวัยวะของผู้ที่เพิ่งเสียชีวิต มาใช้ประโยชน์เพื่อผ่าตัดนำเข้าไปทดแทนอวัยวะที่ชำรุดเสียหายของคนไข้ต่างๆ ที่รอรับบริจาคอยู่

คุณหมอบอกว่าการแพทย์เดี๋ยวนี้เจริญขึ้นมาก การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะไม่ใช่เรื่องยากอย่างสมัยก่อน และความรู้ที่ก้าวเดินไปข้างหน้าก็ช่วยทำให้เราสามารถนำอวัยวะของผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ได้มากรายการ ไม่ว่าจะเป็นดวงตา ไต และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย

เราอาจนึกไม่ถึงว่าความตายของคนคนหนึ่ง สามารถให้ชีวิตใหม่กับหลายๆ คนได้อย่างมหัศจรรย์

คนที่สายตามองไม่เห็นกลับมีโอกาสได้มองเห็น

คนที่เคยใช้ชีวิตวนเวียนเข้า-ออกโรงพยาบาลสัปดาห์ละสองหรือสามวันเพื่อไปฟอกไต จะกลับมามีชีวิตเป็นปกติชนได้อีกครั้งหนึ่ง บุญกุศลอย่างนี้เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจและมีผู้ที่แสดงความจำนงขอบริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้นอยู่เสมอแต่ก็ยังไม่มีจำนวนมากพอเมื่อเทียบกับปริมาณผู้ที่รอการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ เพื่อนผมบอกว่าก็ต้องรณรงค์สร้างความเข้าใจในเรื่องนี้กันต่อไป

หมดยุคสมัยแล้วครับที่จะมีความกังวลว่าถ้าบริจาคอวัยวะของร่างกายเมื่อเราเสียชีวิตให้กับใครไปแล้ว พอเรากลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง อวัยวะส่วนนั้นของเราในร่างใหม่จะขาดตกบกพร่องไป

เช่น บริจาคดวงตาไปแล้ว ชาติหน้าเราจะเกิดมาเป็นคนตาบอดเพราะไม่มีดวงตาเนื่องจากบริจาคให้คนอื่นไปแล้ว

อย่าลืมสิครับว่า เราหอบเอาสังขารของเราข้ามพบข้ามชาติไปไม่ได้ จะนำติดตัวไปได้ก็แต่เพียงกองทุนบุญกุศลเท่านั้น สังขารที่เราทอดทิ้งเสียแล้วในภพชาตินี้ อย่าไปมัวอาลัยอาวรณ์อยู่เลย

ถ้าใครจะนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้ ก็ยกให้เขาเถิดครับ

ชาตินี้เป็นทีวีจออ้วนมานานแล้ว เทอะทะหนักหน่วงเต็มที ชาติหน้าขอเกิดเป็นทีวีจอแบนสวยๆ หน่อย ภาพงดงามคมชัด จะมิดีกว่าหรือ