อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ชีวิตาในโลกใหม่ (7) เทศะแห่งอาณานิคมและกาละของผู้ปกครอง

เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 1589 หลุยส์ เดอ กาวายัล-Luis De Carvajal ผู้อยู่ในชุดแต่งกายที่ทำขึ้นจากผ้ากระสอบ กำลังเดินมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของเขาในเม็กซิโก

หลุยส์เป็นชาวสเปน เป็นหนึ่งในประชากรชาวสเปนนับแสนที่กำลังเริ่มต้นสร้างสเปนใหม่-New Spain หรือโลกใหม่-New World ที่ตั้งตัวขึ้นภายหลังการค้นพบดินแดนแห่งนี้ในปี 1492 เขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง 23 ปี ร่างกายสันทัด ผมสีดำ ผิวขาว มีจมูกโด่งเป็นสันแบบชาวโรมัน มีใบหน้าเรียว คางของเขาปกคลุมด้วยเคราครึ้ม

เขามีรูปร่าง หน้าตา แทบไม่ต่างจาก บัลทาซ่าร์-Baltasar พี่ชายคนหนึ่งของเขา

หลุยส์เป็นชายหนุ่มผู้มีอนาคต ได้รับการศึกษามาอย่างดี ลุงของเขาคือ หลุยส์ เดอ กาวายัล ผู้อาวุโส หรือ Luis De Carvajal the Older คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าชาร์ลที่ห้า ประมุขของสเปนในขณะนั้นให้ครอบครองดินแดนในเม็กซิโกในส่วนที่เรียกขานกันว่า ลีอองใหม่ หรือ New Leon ครอบครัวของหลุยส์ พร้อมพรั่งทั้งยศ สมบัติ และอำนาจ หากแต่ไม่กี่วันนับจากนี้ หลุยส์ เดอ กาวายัล จะเดินทางไปสู่คุกตะราง ขึ้นสู่ศาลแห่งการไต่สวนศาสนา และถูกเผาทั้งเป็นในอีกเจ็ดปีต่อมา

ทั้งหมดนั้น นั่นเป็นเพียงเพราะว่าตระกูลกาวายัล เป็นยิว และพวกเขาเป็นยิวที่แม้จะเปลี่ยนศาสนาแล้ว ก็ไม่อาจพ้นการถูกตราหน้าว่าเป็นพวกคนนอกศาสนาได้

 

ในปี 1994 การเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนรางวัลโนเบลชาวโคลอมเบียได้เขียนนวนิยายขึ้นเรื่องหนึ่งมีชื่อว่า Of Love and Other Demons (ความรักและปีศาจตัวอื่นๆ)

เนื้อเรื่องกล่าวถึงการตกหลุมรักของบาทหลวงคณะฟรานซิสกัน นาม คาเยตาโน่ เดลาอูร่า-Cayetano Delaura ต่อสาวน้อยวัยสิบสอง นาม เซียว่า มาเรีย-Sierva Maria

สาวน้อยผู้นี้ถูกสุนัขจรจัดกัดเข้าโดยบังเอิญและทำให้เธอต้องติดเชื้อพิษสุนัขบ้า อาการป่วยไข้ของเธอในดินแดนโลกใหม่กลับถูกหาว่าเป็นดังการถูกสิงสู่โดยปีศาจร้าย

เธอถูกส่งไปยังอาราม ซานตา คลาร่า ในคาร์ตาเยน่า และที่นั้นเองที่อาการวิปลาสของเธอทำให้ศาสนจักรต้องเข้ามาควบคุม

บิชอป เดอ คาชาเรส ส่งบาทหลวงหนุ่มไปที่นั่น และสาวน้อย เซียว่า มาเรีย ได้สอนเขาให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรัก

ความรักในเรื่องนั้นเองก่อให้เกิดการผิดบาป บาทหลวงหนุ่มถูกแยกออกจาก เซียว่า มาเรีย

และ เซียว่า มาเรีย ถูกพิพากษาให้ต้องจบชีวิตลง เรื่องราวในนวนิยายจบลงเพียงเท่านี้

หากแต่สิ่งที่มาร์เกซ ต้องการซ่อนไว้ภายใต้การเล่าเรื่องของเขาคืออะไรเล่า

 

รายละเอียดเล็กน้อยในเล่มนั้นอยู่ตรงที่พี่เลี้ยงของ เซียว่า มาเรีย คือ โดมิงก้า เดอ อัดวิเอนโต้-Dominga de Adviento ผู้เป็นสาวพื้นเมืองชาวแอฟริกันเผ่าโยรูบา-Yoruba ชาวพื้นเมืองเผ่าโยรูบานั้นเป็นเผ่าที่มีความเชื่อในเทพเจ้าส่วนตนอย่างยิ่ง

พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีวิญญาณส่วนตัวที่เรียกว่า อยานโม่-Ayanmo และหน้าที่ของการเกิดมานั้นคือเพื่อผนวกรวมอยานโม่เข้ากับเทพเจ้าสูงสุดที่มีนามว่า โอโลรุน-Olorun และกระบวนการผนวกรวมนี้มีทั้งผ่านทางพิธีกรรมและการท่องมนต์

สาวน้อย เซียว่า มาเรีย ได้ท่องมนต์เหล่านี้ในขณะที่อยู่อาราม ซานตา คลาร่า

และทำให้เธอถูกลงความเห็นว่าเป็นพวกนอกศาสนาในที่สุด

 

กระบวนการไต่สวนทางศาสนาหรือ Inquisition นั้นเคยเกิดขึ้นครั้งใหญ่ในสเปนในศตวรรษที่สิบห้าโดยได้รับการสนับสนุนจากพระราชาเฟอร์ดินันด์ที่สองและพระราชินีอิสซาเบลล่าแห่งราชวงศ์คาสติลล์ (ทั้งสองพระองค์ยังเป็นผู้อุปถัมภ์การเดินทางของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส สู่โลกใหม่ด้วย) โดยการไต่สวนนั้นเป็นไปเพื่อสอบทานถึงความศรัทธาในพระเจ้าต่อชาวยิวและชาวมุสลิมที่ได้มีการเปลี่ยนศาสนา

การไต่สวนครั้งนี้มีบทลงโทษในตอนต้นคือการขับออกจากอาณาจักรสเปน แต่กลับมีผลสืบเนื่องถึงการสังหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ด้วย ผลจากการไต่สวนครั้งนี้มีผู้ถูกขับออกจากสเปนถึง 150,000 คน และมีคนที่ถูกสังหารชีวิตถึงสามพันคนเลยทีเดียว

ความน่าสนใจระหว่างการไต่สวนทางศาสนาระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่อยู่ตรงที่การไต่สวนในโลกเก่านั้นมุ่งไปที่การทำศาสนาให้บริสุทธิ์

หากแต่การไต่สวนทางศาสนาในโลกใหม่กลับมีนัยแอบแฝงถึงการช่วงชิงอำนาจระหว่างผู้ที่เดินทางมาแสวงหาการตั้งรกรากในดินแดนที่เพิ่งค้นพบ

ความอิจฉาริษยา ความโลภและความต้องการที่ไม่เพียงพอทำให้ข้อหาบุคคลนอกศาสนาถูกยัดเยียดใส่คู่แข่งทางการค้า การปกครองได้ง่ายดาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏให้เห็นในกรณีของ หลุยส์ เดอ กาวายัล การที่ลุงของเขาเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือดินแดนใหม่และครอบครองที่ดินจำนวนมากทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องถูกกำจัดอย่างเร่งด่วน

ทว่า การทำลายล้างเขานั้นไม่อาจกระทำได้โดยทันด่วน มันจึงเริ่มต้นด้วยการขจัดผู้ใกล้ชิดอันได้แก่บุคคลในครอบครัวของเขาก่อนเป็นอันดับแรก

ก่อนหน้าที่หมายจับหลุยส์จะมาถึง น้องสาวของเขาคืออิซาเบล-Isabel ได้ถูกควบคุมตัวยังที่คุมขังทางศาสนาเรียบร้อยแล้ว

โศกนาฏกรรมที่มีต่อตระกูลกาวายัลนั้นถือว่าเป็นตำนานที่แสดงถึงการกระทำระหว่างชาวคริสต์ต่อชาวยิวนิกายยูดาย

โชคดีที่เอกสารแห่งการไต่สวนครั้งนี้ถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดีและมันได้กลายเป็นบันทึกถึงพัฒนาการของการเกิดขึ้นของดินแดนใหม่แห่งนี้

 

เมื่อหลุยส์เดินทางถึงนครเม็กซิโก เขาได้พบกับบัลทาซ่าร์ พี่ชายผู้ต้องคดีนี้เช่นกัน ทั้งคู่ไปหลบซ่อนตนอยู่ในบ้าน จอร์เก้ เดอ อัลเมด้า-Jorge de Almeida ผู้เป็นพี่เขย ตลอดระยะเวลาสิบวันทั้งคู่ขบคิดว่าจะรับมือกับสถานการณ์คับขันที่ว่านี้อย่างไรดี

มารดาของพวกเขาคือ โดน่า ฟรานซิสก้า-Dona Francisca แนะนำให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตปกติราวกับไม่เคยกระทำอะไรผิด อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่เล็งเห็นว่าการที่น้องสาวคืออิสซาเบลถูกจับกุมตัวไปนั้นแสดงให้เห็นว่าภัยครั้งนี้คงต้องมาถึงตระกูลกาวายัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การหลบหนีจึงดูเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่า เช้าวันที่ 3 เมษายน ปี 1589 หลุยส์ตัดสินแอบออกไปที่เหมืองแถบแทกซ์โก้เพียงลำพัง

เขาไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่นกับเพื่อนคนหนึ่งนาม โทมัส เดอ ฟอนเชก้า-Tomas De Fonseca หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เขาคิดว่าทุกอย่างน่าจะสงบลงและตัดสินใจกลับเข้านครเม็กซิโก ระหว่างทางเขาได้พบกับ โรดริเกวซ เดอ ซิลว่า ข้ารับใช้ของ จอร์เก้ เดอ อัลเมด้า ผู้เป็นพี่เขย

และข่าวร้ายที่เขาได้รับคือ ลุงของเขาอันได้แก่ หลุยส์ เดอ กาวายัล ผู้อาวุโส ได้ถูกจับกุมตัวเพื่อเตรียมการไต่สวนศาสนาแล้วตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน

 

ข่าวร้ายที่ว่านี้ทำให้หลุยส์ตระหนักว่านี่คือกรณีที่มุ่งโจมตีตระกูลเขาโดยตรง หลุยส์เร่งเข้าไปในเม็กซิโก พาตัวบัลทาซ่าร์ผู้เป็นพี่ชายออกไปหลบอยู่ยังบ้านของเพื่อนอีกคนนามว่า มานูเอล โกเมซ ตลอดเวลาสามวัน พี่น้องสองคนนั่งร่างแผนการที่จะช่วงชิงตัวสมาชิกในตระกูลและหาทางหลบออกจากโลกใหม่

พวกเขาคิดถึงการย้อนกลับสเปน หนีไปยังทางใต้ของฝรั่งเศส หรือไปในเมืองปิซ่า เยนัว เวนิซ

หรือไกลไปถึงจักรวรรดิออตโตมันที่ที่พวกเขาจะใช้ชีวิตชาวยิวได้อย่างเปิดเผย

แผนการที่ว่าคือการไปขึ้นเรือฮาว่าน่าแถบคิวบาซึ่งอยู่พ้นการสอดส่องของศาลไต่สวนศาสนา

เรือที่นั่นจะออกเดินทางในเดือนกันยายนโดยมีผู้นำเรือชื่อ เปเรซ เดอ โอโรซาบัล-Perez de Orozabal ที่คุ้นเคยกับตระกูลเขาเป็นอย่างดี

และระยะเวลาก่อนถึงเดือนกันยายน พวกเขาจะสามารถใช้เวลาขบคิดในการช่วงชิงลุงและน้องสาวจากการควบคุมตัวได้

ทั้งคู่ออกเดินทางไปเวราซครูซ และเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้พบกับญาติทางฝ่ายแม่คือ ดิเอโก้ มาร์เกซ เดอ อันดราด้า-Diego Marquez de Andrada ผู้เดินทางมาหาซื้อสินค้าอันได้แก่ไวน์ชั้นดีที่ปลูกในบริเวณนั้นกลับไปยังเม็กซิโก

บุคคลทั้งหมดวางแผนหลบหนีไปครั้งสุดท้ายก่อนจะพบความจริงว่าการหลบหนีนั้นทำไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

ไม่มีทางใดที่เขาจะพาทุกคนในตระกูลออกจากแผ่นดินนี้ได้ มันดูซับซ้อนและยุ่งยากเกินไป หนทางเดียวที่จะกระทำได้คือการมอบตัวและใช้ประจักษ์พยานทั้งหมดต่อสู้คดีไต่สวนทางศาสนาครั้งนี้

หลุยส์ เดอ กาวายัล ตัดสินใจกลับนครเม็กซิโก โดยขอให้บัลทาซ่าร์ผู้เป็นพี่รอฟังข่าวจากเขา