ต่างประเทศ : เหตุแห่งการณ์เลือก “เวียดนาม” จัดซัมมิต “ทรัมป์-คิม”

ที่สุดแล้วก็ลงตัวสำหรับสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นการประชุมสองผู้นำครั้งที่ 2 ที่กำหนดจะมีขึ้นที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์นี้ หลังจากการพบกันครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมามีขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์

โดยเอเอฟพีได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ “กรุงฮานอย” ถูกเลือกให้เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก แต่ที่สุดแล้วก็ลงเอยที่ประเทศเวียดนาม

เอเอฟพีระบุว่า แม้ว่า “เวียดนาม” จะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ หากแต่ก็เป็นมิตรกับทั้งสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ ก็มีความเหมือนกับเวียดนาม ที่ครั้งหนึ่งเคยทำสงครามนองเลือดกับสหรัฐอเมริกามาแล้ว

แต่สิ่งที่เวียดนามไม่เหมือนกับเกาหลีเหนือคือ ตอนนี้รัฐบาลเวียดนามถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่มีความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามากที่สุดประเทศหนึ่ง

จากประเทศที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงคราม กลับเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความรู้ความสามารถมากที่สุดอีกด้วย

 

เอเอฟพีได้สรุปเป็นหัวข้อเอาไว้ถึงเหตุผลของการเลือกเวียดนามเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอด “ทรัมป์-คิม” ไว้ดังนี้

ข้อแรก ว่าด้วยเรื่องของการเดินทาง ซึ่งข้อนี้เอฟเอฟพีระบุว่าเวียดนามได้คะแนนไปเยอะทีเดียว เนื่องจากมีระยะบินที่สั้นมาก จากกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ไปสู่กรุงฮานอย

นอกจากนี้ กรุงฮานอยก็ยังเป็นที่ตั้งของสถานทูตของทั้งสหรัฐและเกาหลีเหนือด้วย ซึ่งก็จะช่วยทำให้การประสานงานเตรียมความพร้อมก่อนการประชุมเป็นไปได้อย่างสะดวกสบาย

และขณะที่รัฐบาลฮานอยเป็นเพื่อนกับทั้งสหรัฐและเกาหลีเหนือ แต่ก็ถือเป็นดินแดนที่ “เป็นกลาง” ไม่เหมือนกับ “ฮาวาย” ที่ตอนแรกมีข่าวลือว่าก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับจัดการประชุมสุดยอด แต่ฮาวายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา

ในส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้น โดยปกติแล้วประเทศเวียดนามซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ก็มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดอยู่แล้ว และทางการเองก็มีการควบคุมการเข้าถึงสื่อต่างๆ อย่างระมัดระวังอยู่แล้ว

 

ข้อที่ 2 คือ ทำไมคิมถึงเลือกเวียดนาม?

ประเทศเวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอยู่เพียงน้อยนิดที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อเกาหลีเหนือ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเกาหลีเหนือ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 และเกาหลีเหนือได้ส่งเจ้าหน้าที่จากกองทัพอากาศไปยังเวียดนามเหนือในช่วงสงครามเวียดนาม

และผู้นำระดับสูงที่สุดของเกาหลีเหนือที่เดินทางเยือนเวียดนามก็คือนายคิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ปู่ของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน ที่เดินทางเยือนเวียดนามเมื่อปี 1961 หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่อาวุโสอีกหลายคนของเกาหลีเหนือที่เดินทางเยือนเวียดนามในเวลาต่อๆ มา

ในส่วนเรื่องการค้า ก็ต้องบอกว่า แม้ว่าเกาหลีเหนือจะถูกสหประชาชาติคว่ำบาตร หากแต่มูลค่าการค้าระหว่างเกาหลีเหนือกับเวียดนามก็สูงถึง 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2017

และการเดินทางเยือนเวียดนามเป็นครั้งแรกของนายคิม จอง อึนนี้ อาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้นายคิมได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจของเวียดนามในช่วงหลังสงคราม

 

ข้อที่ 3 แล้วสำหรับรัฐบาลสหรัฐ อะไรคือเหตุผลของการเลือกเวียดนาม?

เอเอฟพีระบุว่า เวียดนามอาจจะเป็นที่ตั้งสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับสหรัฐอเมริกา ที่ปัจจุบันกำลังมีปัญหาสงครามการค้ากับประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรสำคัญของเกาหลีเหนือ โดยนายชอน ซง วุน นักวิชาการจากสถาบันศึกษานโยบายจากกรุงโซล เกาหลีใต้ บอกว่า ทรัมป์อาจจะใช้เวียดนามเป็นตัวส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลปักกิ่งว่าเวียดนามไม่ได้อยู่ในกำมือของประเทศจีนเท่านั้น และชี้ให้เห็นว่าสหรัฐก็มีตัวถ่วงสมดุลกับจีนอยู่ในพื้นที่นี้เหมือนกัน

สุดท้ายคือ ทำไมเวียดนามถึงกระตือรือร้นที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม?

เวียดนามเองกระตือรือร้นที่จะแสดงให้เห็นถึงการเป็นตัวดึงดูดด้านการทูตบนเวทีระดับโลก หลังจากได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค เมื่อปี 2017 รวมไปถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ระดับภูมิภาค เมื่อปีที่ผ่านมา

และการพบกันของทรัมป์กับคิม อาจจะทำให้เวียดนามได้มีโอกาสฉายแสงระดับโลกอีกครั้ง