“โค้ชเฮง” เปิดเบื้องหลัง ปลด “ราเยวัช” ดัน “โค้ชโต่ย” ย้ำ “บอลไทย” ยังดีกว่า “เวียดนาม”!

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งทวีปเอเชีย หรือเอเชี่ยนคัพ 2019 ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเจ้าภาพปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กลายเป็นว่า “ชาบี้ เอร์นานเดซ” อดีตกองกลางสโมสรบาร์เซโลน่า ทำนายผลการแข่งขันได้อย่างแม่นยำ หลังจากรอบชิงชนะเลิศ ทีมชาติกาตาร์ เจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2022 เอาชนะทีมชาติญี่ปุ่น แชมป์เก่า 4 สมัย ไป 3-1

หลายคนอาจมองว่ากาตาร์คือทีมม้ามืด แต่ถ้าย้อนไปดูผลงานตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ ต้องบอกว่าพวกเขาคือของจริง!

กาตาร์ชุดนี้มี “เฟลิกซ์ ซานเชซ” ชาวสเปนเป็นเฮดโค้ช ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม ชนะ 3 นัดรวด, รอบ 16 ทีม ชนะอิรัก 1-0, รอบ 8 ทีมสุดท้าย ชนะเกาหลีใต้ที่มีซน เฮือง มิน ดาวเตะจากสเปอร์ส นำทัพ 1-0, รอบรองชนะเลิศ ไล่ถล่มเจ้าภาพ 4-0 และรอบชิงชนะเลิศ ชนะญี่ปุ่น 3-1

ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของกาตาร์กับการคว้าแชมป์เอเชี่ยนคัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยสถิติชนะรวด 7 นัด ยิงไป 19 ประตู และเสียเพียงลูกเดียวเท่านั้น!

ในส่วนของทีมชาติไทย มีหลายเรื่องราวเกิดขึ้นในทัวร์นาเมนต์นี้ ทั้งการปลด “มิโลวาน ราเยวัช” ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ช หลังคุมทีมแพ้อินเดีย 1-4

จากนั้นสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้แต่งตั้ง “โค้ชโต่ย-ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย” เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนชั่วคราว โดยมี “โค้ชโชค-โชคทวี พรหมรัตน์” เป็นผู้ช่วย

ทั้งคู่ได้ปรับเปลี่ยนแท็กติกการเล่นของทีมไทย จากเดิมที่เน้นแต่เกมรับ จนนำมาสู่ชัยชนะเหนือบาห์เรน 1-0 และเสมอสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1-1 ส่งผลให้ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปี

แม้ว่าในรอบ 16 ทีม โค้ชโต่ยและโค้ชโชคจะไม่สามารถนำทัพช้างศึกหักด่านมังกรทีมชาติจีนได้สำเร็จ และต้องจอดป้ายแค่เพียงรอบ 16 ทีมเท่านั้น

แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจ เพราะหากย้อนไปดูผลงานนัดแรกที่แพ้อินเดียเละเทะ คงไม่มีใครคิดว่าทีมชาติไทยจะมาไกลขนาดนี้

ทีมข่าวกีฬามติชนทีวีมีโอกาสสัมภาษณ์ “โค้ชเฮง-วิทยา เลาหกุล” อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย และอดีตกุนซือสโมสรชลบุรี เอฟซี ปัจจุบันทำหน้าที่อุปนายกฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เกี่ยวกับผลงานของทีมชาติไทยในเอเชี่ยนคัพที่ผ่านมา

โค้ชเฮงวิเคราะห์ว่า สำหรับการตกรอบ 16 ทีม คงไม่มีใครในสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ รวมถึงนักเตะและสต๊าฟโค้ชพอใจกับผลงานที่เกิดขึ้น

เพราะโดยปกติแล้ว แต่ละชาติก็จะตั้งเป้าหมายไว้ที่รอบรองชนะเลิศ หรือเข้าชิงชนะเลิศ

“การตกรอบ 16 ทีม บางคนอาจจะพึงพอใจ แต่สำหรับผม ผมว่าเราต้องเรียนรู้และต้องปรับปรุงอีกมาก ถ้าบอกตรงๆ ไม่มีใครพอใจ ผู้เล่นไม่พอใจ โค้ชโต่ยก็ไม่พอใจกับผลงานตรงนี้หรอก เพราะฉะนั้น เราต้องเอาบทเรียนตรงนี้มาวิเคราะห์ แล้วก็เอามาพัฒนาเด็กๆ

“ถ้าเราคิดว่าพึงพอใจในตอนนี้ มันก็เหมือนความเฉยชา แล้วก็ไม่ทำงาน ซึ่งผมบอกตรงๆ ว่าเราต้องทำงานหนักมากกว่านี้” โค้ชเฮงเปิดอกอย่างตรงไปตรงมา

นอกจากนี้ โค้ชเฮงยังเล่าเบื้องหลังการปลดราเยวัชออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่า วิธีการฝึกซ้อมของผู้ฝึกสอนชาวเซอร์เบียไม่ตอบโจทย์ที่จะนำไปใช้ในการแข่งขันจริง

“ในฐานะผมเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคนิค หน้าที่สำคัญของผมอีกอย่างหนึ่งคือตรวจสอบการฝึกซ้อมของโค้ชทุกๆ ชุด ไม่ใช่แค่ราเยวัชอย่างเดียว โค้ชต่างชาติที่มาอยู่ในเมืองไทยทุกๆ ชุด ทุกๆ คนจะเหมือนกันหมด อันดับแรกคือ ซ้อมแบบให้ผู้เล่นมีความสด เพื่อไปแข่ง

“ยกตัวอย่าง โค้ชอังกฤษคนหนึ่ง เราจะแข่งกับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเขามีวิธีการโต้กลับที่ดีมาก แต่เรากลับให้นักเตะเล่นลิงชิงบอล 20-30 นาที พอยืดเส้นเสร็จ ก็ให้ไปลงสระ ผมคิดว่าเด็กแทบไม่เรียนรู้อะไรเลย

“ราเยวัชก็เหมือนกัน พอเราไปตรวจสอบ การฝึกซ้อมมันไม่สามารถที่จะเอาไปให้ผู้เล่นไปเล่นในเกมการแข่งขันได้

“ซึ่งถ้าผมไปรายงานให้ใครฟังนะ คงไม่มีใครเชื่อ แต่ว่าเราก็พยายามอดทนตรงนี้ จนสุดท้ายทุกคนถึงได้รู้”

“และท่านนายก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตัดสินใจให้เขาออก หลังจากแพ้อินเดีย”

ส่วนในเรื่องของหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่ โค้ชเฮงแสดงความคิดเห็นว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ได้ แต่ต้องมีปรัชญาและโมเดลฟุตบอลที่ชัดเจน รวมทั้งทำงานตามแนวทางของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

“ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือฝรั่ง อย่างแรกต้องเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ต้องเป็นคนที่มีปรัชญาและโมเดลการทำงานที่ถูกต้อง

“จากที่เคยสัมผัสมา ผมเห็นมีโค้ชจากญี่ปุ่นแค่ประเทศเดียวที่มานำเสนอในเรื่องของโมเดลฟุตบอล ถ้าโค้ชคนใดไม่มีโมเดลมาเสนอ ผมคิดว่าเราคงทำงานกันแบบเสียเวลา เหมือนเวลาเราจะสร้างบ้าน ถ้าเราคิดไปทำไป บ้านคงพัง” โค้ชเฮงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

อดีตกุนซือทีมชาติไทยยังกล่าวถึงเหตุผลที่เลือกโค้ชโต่ยมาเป็นผู้ช่วยราเยวัชตั้งแต่ปี 2560 ก่อนได้รับโอกาสให้เป็นกุนซือขัดตาทัพในศึกเอเชี่ยนคัพว่า โค้ชโต่ยเป็นคนที่หลงใหลในเกมฟุตบอลและเป็นคน “น้ำไม่เต็มแก้ว” พร้อมเรียนรู้และรับฟังคำชี้แนะจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

จึงเชื่อว่าโค้ชโต่ยจะมีโอกาสขึ้นคุมทีมชาติไทยในอนาคต

ขณะเดียวกัน หลังจากจบเอเชี่ยนคัพ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้มอบหมายให้โค้ชโต่ยทำงานคุมทีมชาติชั่วคราวต่อไป โดยมีภารกิจสำคัญคือ การแข่งขันฟุตบอลรายการพิเศษที่ประเทศจีนช่วงเดือนมีนาคม รวมถึงฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ช่วงเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ยังได้ให้โค้ชโต่ยกู้ยืมเงินกว่า 5 แสนบาท เพื่อไปเรียนโค้ชระดับฟีฟ่าโปรไลเซนส์อีกด้วย

เมื่อชวนสนทนาถึงประเด็นที่ทีมชาติเวียดนามทำผลงาน (เหมือนจะ) แซงหน้าทีมชาติไทย ด้วยการทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเอเชี่ยนคัพ ก่อนไปแพ้ทีมชาติญี่ปุ่น 0-1

โค้ชเฮงสะท้อนมุมมองว่า การเข้ารอบ 8 ทีมของเวียดนาม อาจไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าวงการฟุตบอลเวียดนามพัฒนามากกว่าวงการฟุตบอลไทย

“นักเตะเวียดนามชุดนี้ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากโครงการเจเอ็มจี อคาเดมี สมัยก่อนเจเอ็มจีก็เคยมาเปิดหลักสูตรที่เมืองไทย แต่ว่าความสำเร็จของเวียดนามจะเห็นชัดกว่า เพราะมีการสร้างทีมตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งการเล่นรวมกัน ทำให้พวกเขามีความเข้าใจ มีทีมเวิร์กที่ดี และเป็นทีมที่มีคุณภาพ

“แต่ถ้าเทียบกับประเทศไทย เรามีนักเตะหลายๆ ชุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผมบอกตรงๆ ถ้าเวียดนามหมดชุดนี้ ก็ไม่มีแล้ว หรือถ้ามาเตะกับไทย เขาก็สู้เราไม่ได้”

โค้ชเฮงกล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในการทำหน้าที่ประธานเทคนิคของตนเอง แต่ก็ไม่ได้สนใจหรือเสียใจอะไร เพราะที่ผ่านมา ได้ทำงานหนักมาตลอดกับการพัฒนาผู้ฝึกสอนและนักเตะเยาวชนภายในประเทศ