ปริศนาโบราณคดี : “โง่” วาทกรรมแห่งการเหยียบย่ำ “ชาติพันธุ์” และเหยียดหยาม “ความเป็นคนอื่น”

เพ็ญสุภา สุขคตะ
ซ้าย-พระธรรมโกศาจารย์ ขวา-ครูบาศรีวิชัย

จากกรณีที่ชาวกะเหรี่ยง ป่าแก่งกระจาน “ปู่คออี้” ถูกเผาบ้านไล่ที่ หรือกะเหรี่ยงหนุ่มถูกยิงตายคาป่า ขณะสองมือกำเห็ดข้อหาบุกรุกอุทยานห้วยขาแข้ง ทั้งๆ ที่เคยเก็บเห็ดเป็นประจำเพื่อนำมาประทังชีวิตตามวิถีชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งเคยดำรงมาก่อนคำว่า “มรดกโลก”

เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลพม่าผู้เป็นแสงประทีปแห่งประชาธิปไตย ผู้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะจ๋า แต่กลับเพิกเฉยต่อกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ “โรฮิงญา” อย่างไร้มนุษยธรรม

ทั้งนี้ ยังไม่นับกรณีดราม่าของ “เบส อรพิมพ์” ที่พูดพาดพิงถึงศักดิ์ศรี “คนอีสาน” ว่าไม่สำนึกในพระคุณของพ่อหลวง ฯลฯ

ปรากฏการณ์เรื่องการเหยียบย่ำ “ชาติพันธุ์” และการเหยียดหยาม “ความเป็นคนอื่น” ที่ปะทุออกมาให้เห็นเป็นระลอกๆ อยู่เนืองๆ โดยไม่เลือกว่าจะเกิดขึ้นกับชนชาติใดหรือศาสนาไหนนั้น ล้วนเป็นตะกอนตกค้างที่สั่งสมมาจากการปลูกฝัง “มิจฉาทิฏฐิ” ให้เกิด “อคติผิดๆ” ของสังคมศักดินา “แบ่งเขาแยกเรา” อันมีมาตั้งแต่อดีตแล้ว

บทความนี้จะขอยกตัวอย่าง “ความบาดหมาง” อีกปรากฏการณ์หนึ่ง ที่ชาวพุทธดูถูกชาวพุทธด้วยกันว่า “โง่” ชาวไทยสยามเหยียดหยามชาวไทล้านนาว่า “ไร้การศึกษา” ถูกจูงจมูกง่าย

กรณีศึกษาที่ว่านี้ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2478 หรือประมาณ 80 ปีที่ผ่านมาแล้ว เป็นความขัดแย้งระหว่าง “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” ต๋นบุญแห่งล้านนา กับ “ท่านเจ้าคุณปลด กิตฺติโสภโณ” อดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 14 สมัยที่ยังเป็น “เจ้าคณะมณฑลพายัพ”

 

ศาสนาหนึ่งเดียวอันแบ่งแยกมิได้

ยังไม่ทันที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยจะสร้างทางขึ้นดอยสุเทพเสร็จเรียบร้อยดี บรรยากาศที่สาธุชนแห่มาช่วยงานวันละมากกว่า 5,000 คน ก็เริ่มเป็นที่เขม่นสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาพระผู้ใหญ่ในล้านนาหลายรูป โดยเฉพาะรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ “พระโพธิรังษี” (ศรีโหม้ คนฺธาโร) วัดศรีดอนไชย (ป่ากล้วยช้างคลาน) ซึ่งมีบทบาทกุมอำนาจเรื่องการจัดระเบียบสงฆ์ในล้านนา มากกว่าเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดทุงยู ขณะนั้นซึ่งกำลังอาพาธ

จากการที่มีกุลบุตรจำนวนมากจากทุกสารทิศไหลหลั่งมาขอให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นพระอุปัชฌาย์ดำเนินการบรรพชาอุปสมบทให้ก็ดี

หรือการที่เจ้าอาวาสวัดต่างๆ เริ่มกระด้างกระเดื่องไม่อยากขึ้นตรงต่อเจ้าคณะจังหวัดของตน แต่หันมาปฏิบัติตามแนวทางของครูบาเจ้าศรีวิชัยก็ดี

นำมาซึ่งความเดือดเนื้อร้อนใจ ให้รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เป็นมูลเหตุข้ออ้าง รายงานพฤติกรรมความ “ล้ำเส้น หัวดื้อ ไม่อยู่ในโอวาท ปลุกระดมมวลชน พยายามตั้งลัทธิใหม่” ของครูบาเจ้าศรีวิชัย ด้วยการชงเรื่องขึ้นไปยัง “พระธรรมโกศาจารย์” (ปลด กิตฺติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลพายัพ

เหตุการณ์ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยเองก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อนนี้ เกิดขึ้นกลางปี 2478 หลังจากที่เพิ่งทดลองเอารถยนต์คันแรกเบิกทางขึ้นดอยสุเทพได้ไม่ถึงเดือน อีกทั้งสะพานข้ามน้ำตกห้วยแก้วก็ยังไม่ทันสร้างเสร็จดี จู่ๆ ก็ได้รับหมายเรียกตัวจากมหาเถรสมาคมให้ไปรับฟังข้ออธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ

ข้อกล่าวหาที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ก็หาใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดไม่ ล้วนเป็นข้อกล่าวหาเดิมๆ ที่เคยใช้เล่นงานท่านมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือ “การตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์เถื่อน”

ความผิดในการที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีสิทธิ์เป็นพระอุปัชฌาย์นั้น ก็ว่ากันไป ไต่สวนกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ศึกษาเหตุการณ์ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ก็คือ “ทัศนคติ” หรือ “เจตนคติ” ที่ระดับพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่มีต่อ “พระบ้านป่า” และชาวเมืองลี้นั้นมากกว่า

เพราะมันเป็นมุมมองที่เต็มไปด้วยอคติ กดขี่ ดูถูกพุทธศาสนิกชนร่วมชาติ เพียงแค่เกิดมาต่างภูมิภาค แผกชาติพันธุ์ ว่า “โง่” เป็นความคิดที่รุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าความผิดที่เกิดจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเสียอีก


หัวอ่อน โง่ ไม่เรียนหนังสือ

พระธรรมโกศาจารย์ เมื่อรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย จากพระโพธิรังษี รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ แล้ว ท่านได้ทำหนังสือถึง อธิบดีกรมธรรมการ (ปัจจุบันคือ กรมการศาสนา) กระทรวงธรรมการ ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2478

เป็นหนังสือที่ออกจากวัดเบญจมบพิตร ความยาว 2 หน้าครึ่ง หน้าแรกนั้นอารัมภบทถึงความผิดกี่ข้อหาของครูบาเจ้าศรีวิชัยผู้ดื้อดึงไม่เคยอยู่ในโอวาทคณะสงฆ์ อ่านแล้วก็พอเข้าใจได้

สิ่งที่สะท้อนสะเทือนใจมาก ปรากฏในหน้า 2 นับแต่ย่อหน้าแรก เป็นมุมมองของเจ้าคณะมณฑลพายัพที่มีต่อชาวเมืองลี้ จังหวัดลำพูน ด้วยเมืองลี้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง ดังข้อความที่เขียนว่า

“อนึ่ง ปรากฏตามรายงานตรวจการคณะแขวงลี้ ของเจ้าคณะจังหวัดลำพูน ที่ปรารภความเป็นไปของแขวงลี้ว่า ประชาชนในแขวงลี้โดยส่วนมาก เป็นคนหัวอ่อน ปกครองง่าย ในฝ่ายบ้านเมืองเคยออกปากว่า ดีกว่าทุกอำเภอในจังหวัดเดียวกัน คดีอุกฉกรรจ์เกือบจะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะโง่

แต่เมื่อพูดถึงทางศาสนาแล้ว หัวดื้ออย่างยิ่ง ไม่ยอมฟังเสียงใครเลย นอกจากผู้ที่ตนนับถือคนเดียวเท่านั้น ในจำนวนพลเมืองทั้งหมด ที่นิยมลัทธิของพระศรีวิชัยเสีย 80% ไม่ยอมสำเหนียกการศึกษา ที่เป็นไปตามสมัย นิยมลัทธิดั้งเดิม คนที่จะรู้หนังสือไทยสัก 10% ของจำนวนพลเมืองอำเภอลี้เห็นจะไม่ได้

โรคไม่นิยมภาษาไทย เป็นโรคเรื้อรังติดต่อกันไปไม่ขาดสาย โรงเรียนประชาบาลบางแห่ง โต๊ะ เก้าอี้ ม้าเรียน ของครูและนักเรียน ถูกเผาไฟบ้าง ถูกทิ้งในป่าบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องเดือดร้อนแก่ธรรมการอำเภอไม่หยุดหย่อน…

ระหว่างนี้อิทธิพลของพระศรีวิชัยค่อนข้างแรงกล้า ผู้ต้องการบรรพชาอุปสมบทก็เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ บรรพชาอุปสมบทที่วัดพระสิงห์บ้าง ในสำนักพระศรีวิชัยบ้าง บางรูปมีอายุไม่ครบ 20 ปี อุปสมบทไปก็มี และเมื่อได้อุปสมบทแล้วกลับมาสู่สำนักเดิม คราวนี้ก็ทำการแข็งขัดต่อเจ้าคณะด้วยประการต่างๆ

เป็นต้นว่า ไม่ร่วมทำอุโบสถสังฆกรรมกับคณะสงฆ์หมู่เดิม ผู้ได้รับอุปสมบทมาแล้ว ได้รับใบสุทธิของพระศรีวิชัยมาด้วย เลขที่ใบสุทธิมีจำนวน 2,000 เศษแล้ว (ปรากฏตามที่เจ้าคณะแขวงเมืองไต่สวน)

อนึ่ง เมื่อปรากฏว่าหนานปีได้รับอุปสมบทได้อีกโดยไม่ได้รับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ด้วยแล้ว ย่อมทำให้ชาวพื้นนี้เห็นไปว่า พระศรีวิชัยมีอำนาจยิ่งกว่าคณะสงฆ์ จนมีคำพูดนอกๆ เกิดขึ้นว่า

อีก 4 ปีข้างหน้า พวกพระครูจะถูกเรียกล่องไปอยู่ใต้ พระศรีวิชัยจะว่าที่แทนเจ้าคณะทั่วไปในพื้นพายัพ ซึ่งเป็นคำพูดที่ปลุกขวัญพวกเหล่านั้นให้ตื่นเต้นเข้าสำนักพระศรีวิชัยอีกมากๆ

สถิติแห่งการศึกษาเมื่อศกก่อนๆ เคยทวีจำนวนขึ้นโดยลำดับ บัดนี้ได้ลดลงมาก เพราะนิยมลัทธิอันไม่เป็นประโยชน์เช่นนั้น…”


เบื้องหลังน้ำเสียงกระแหนะกระแหน

ข้อความในจดหมายฉบับนั้นบ่งบอกเฉพาะด้านที่ ชาวพื้นเมืองปฏิเสธการศึกษาที่ส่งตรงยัดเยียดมาจากส่วนกลาง แต่กลับไม่ได้กล่าวถึงเหรียญอีกด้านหนึ่ง ว่าภาครัฐได้สั่งเผาทำลายคัมภีร์ใบลานหนังสือพื้นเมืองอักษรธัมม์ล้านนาหรือตั๋วเมือง โดยมองว่าเป็นวัฒนธรรมชั้นล่างของคนชายขอบ ไร้คุณค่า ไม่ต้องให้ราคาต่อการศึกษาเรียนรู้

จดหมายฉบับนั้น มี Propaganda ปรักปรำว่า การที่คนเข้าหาซูฮกต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยจำนวนมากมายนั้น หาได้ศรัทธาจากใจจริงไม่ แต่เข้ามาก็เพราะจำยอม ต่อคำกล่าวขวัญที่ว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัยกำลังสร้างฐานอำนาจแผ่อิทธิพลจนถึงขั้นที่สามารถยึดเก้าอี้ของเจ้าคณะจังหวัดภาคเหนือได้หมดทุกจังหวัด นั่นหมายรวมถึงเก้าอี้ของเจ้าคณะมณฑลพายัพก็ย่อมสั่นคลอนตามไปด้วย

คำร่ำลือที่ว่า “อีก 4 ปีข้างหน้า พวกพระครูจะถูกเรียกล่องไปอยู่ใต้” นั้น ถามตรงๆ ว่าใครเป็นคนลือ เป็นความกลัวไปเองของใครกันแน่ เมื่อหวาดระแวงก็นำมาสร้าง Story ปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง แตกแยก

ครูบาเจ้าศรีวิชัย คือเหยื่อแห่งความกลัว “ความแตกต่าง” แล้วถูกผลักไสให้กลายเป็น “ความเป็นคนอื่น” ฉันใด ปรากฏการณ์ การดูถูกคนอีสานของ “เบส อรพิมพ์” รวมทั้งความเกลียดชังชนเผ่าชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และการไม่อาจยอมรับว่าโรฮิงญามีตัวมีตนอยู่ในโลกจริงของชาวพม่า ก็จะยังคงเป็นภาพหลอนของคนบางกลุ่มที่หลงยุค

ผู้ไม่อาจยอมรับ “ความแตกต่าง” ของมนุษยโลกได้ฉันนั้น