การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ โลกที่พวกคนอ้างว้างต่างพากันเขียน

มีอะไรหลายสิ่งอย่างที่ตกค้างหมุนวนอยู่ในความรู้สึกของฉัน มันเหมือนมีฝ้ามัวบางๆ คอยเคลือบคลุมอยู่ในตา และคงเป็นเช่นนั้น บางวันฉันจึงเหมือน “ผีบ้า” เข้าไปทุกที

สิ่งที่ฉันยิ่งดูแปลกแยกจากใครๆ ไม่นับการไปทำงานตรงเวลา แต่ก็ไม่ค่อยสนทนาพาทีกับใคร ใครพูดด้วยฉันก็พูดตอบ แต่หากมีโอกาสฉันก็จะปลีกตัวไปอยู่เสียลำพัง ถึงเวลาเที่ยงฉันก็กินข้าวร่วมวงกับเพื่อนร่วมงานภายในเพิงพัก แต่หากอิ่มดีแล้ว ก็จะรีบลุกออกไป

ไกลจากเพิงพักไปสักห้าหกร้อยเมตร เป็นตีนดอยป่าแพะ มีต้นตองตึงและสักขึ้นโปร่งๆ ฉันมักไปอยู่ใต้ร่มต้นใดต้นหนึ่ง เอาสมุดหนังสือใส่ย่ามติดไป มีหนังสือหลายเล่มที่เพียงบัวส่งมาแล้วอ่านซ้ำได้บ่อยๆ ไม่เบื่อหน่าย

เช่น บทกวีของผู้ที่ชื่อ ไพวรินทร์ ขาวงาม

[พเนจร1

เธอจะนอนเนาไหนในยามดึก

ไร้ดวงแก้วแววมณีที่จะนึก

ร้าวรู้สึกทุกทิศที่เดินทาง

พเนจร

จะเร่ร่อนไปไกลถึงไหนบ้าง

ได้เห็นเพียงดาวเดือนเกลื่อนนภางค์

คนรอบข้างใครเล่าจะเข้าใจ

พเนจร

เธอจะร้อนจะหนาวจะป่วยไข้

ใครเขามี เธอสิ…ไม่มีอะไร

มีแต่สิ่งที่ใครไม่อยากมี…]

เหมือนมีเข็มเล็กจิ๋วนับพัน พรมพรูเข้าสู่อกใจฉัน ตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่ได้อ่าน

อย่างนี้เองสินะ ที่เขาเรียกกันว่า “บทกวี” มันช่างมีมนต์ขลัง มันช่างกินใจ

[…พเนจร

ถูกกัดกร่อนดวงใจไฉนนี่

ฤๅพ่ายแพ้แตกหักจากความดี

ฤๅสังคมบดขยี้บีฑาเธอ

พเนจร

จงพักผ่อนเย็บแผลที่พลาดเผลอ

เธอได้เจอสิ่งที่ใครไม่อยากเจอ

จงยิ้มแย้มหยิ่งเผยอในคำเย้ย]

ฉันแทบจะหลับตาลง เพื่อดื่มกินเอารสของตัวหนังสือทั้งหมดนั้นเข้าไปให้ลึกอีก…สุดลึก สุดใจ มันก็แค่เพียงตัวหนังสือเรียงต่อกันเป็นแถวๆ แต่ฉันก็ไม่อาจรู้ได้ เหตุใด เมื่อคำเหล่านั้นเรียงร้อยกันเรื่อยไป กลับเหมือนสายสร้อยผูกใจ คล้องฉันไว้กับสิ่งที่แสนแปลก

รสชาติของบทกวี ชำแรกแทรกเข้าไปในตัวฉัน บทแล้วบทเล่า

วันแล้ววันเล่า

[ถ้าเธออยู่ในโลกอย่างโชคร้าย

เธออาจหมายสิ่งใหม่ไว้ในอก

ถ้าเธอหลงในทางที่ว้างวก

เธออาจยกความคิดตรองจิตใจ

ถ้าทุกข์คือราตรีของชีวิต

เธออาจคิดถึงอรุณสว่างไสว

ถ้าสิ่งที่เธอทำต่ำเกินไป

เธออาจฝันสูงใหญ่ดั่งใจนึก

ถ้าเธอพ่ายแพ้ในชัยชนะ

เธออาจจะฝืนสู้สิ่งรู้สึก

ถ้าเธอว่ายเหนื่อยล้าในน้ำลึก

เธออาจตรึกถึงยังฝั่งน้ำนั้น…]

 

ฉันอยากรู้จังเลยว่า เวลาที่คนผู้นี้เขียนถ้อยคำพวกนี้ออกมา เขากำลังมีชีวิตแบบไหน ในบทก่อนหน้า เขายังเขียนถึงนกขมิ้นที่บินหลงฟ้าอย่างล้าอ่อน เขียนถึงปีกที่เหนื่อยแรงในป่าเปลี่ยว กับความโศกเศร้าของนกที่ต้องเร่ร่อนพเนจรไป

หลับตาลงอีก…ฉันกินถ้อยคำเหล่านั้นเข้าไปอีก พลางแอบคิดว่า มันคงจะดีแน่ๆ ถ้าฉันสามารถเขียนบทกวีได้อย่างพวกเขาบ้าง

[…ถ้าเธอต้องสูญเสียสิ่งหลายสิ่ง

เธออาจยิ่งใฝ่ได้ในความฝัน

ถ้าฝันคือฟากฟ้าซึ่งนิรันดร์

เธออาจดั้นด้นได้ดั่งดวงดาว

ถ้าเธอร้อนสิ้นไร้เงาไม้ร่ม

ถ้าเธอหนาวเกินห่มข่มความหนาว

ปรัชญาใครหนอจะยืดยาว

พอให้คลายปวดร้าวเข้าลึกซึ้ง]

พร้อมกันนั้น ฉันก็อดคิดถึงเจ้าของหนังสือทุกเล่มไม่ได้…เพียงบัว เธอเป็นคนแบบไหนกันนะ หน้าตาก็ยังไม่เคยเห็นกันสักที แต่ตัวหนังสือที่จรดลงในกระดาษทุกๆ แผ่น กับหนังสือแต่ละเล่มที่ส่งมาในกล่อง มันบอกให้รู้ว่าเธอช่างมีสุนทรีย์ (ฉันพอจะเริ่มรู้จักคำนี้บ้างแล้ว) และมีความคิดความอ่านน่าสนใจ

เธอยังส่งหนังสืออีกเล่มมาให้ ซึ่งทันทีที่สุ่มพลิกเปิดอ่าน ก็เจอกับบทอันชวนพรึงเพริดได้อีกเหมือนกัน

 

[ฉันเอาฟ้าห่มให้ หายหนาว2

ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว

น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม

ไหลหลั่งกวีไว้เช้า ชั่วฟ้าดินสมัยฯ

พลีใจเป็นป่าช้า อาถรรพณ์

ขวัญลิ่วไปเมืองฝัน ฟากฟ้า

เสาะทิพย์ที่สวรรค์ มาโลก

โลมแผ่นทรายเส้นหญ้า เพื่อหล้าเกษมศานต์ฯ

นิพนธ์กวีไว้เพื่อกู้ วิญญาณ

กลางคลื่นกระแสกาล เชี่ยวกล้า

ชีวีนี่มินาน เปลืองเปล่า

ใจเปล่งแววทิพย์ท้า ตราบฟ้าดินสลายฯ]

ชื่อบทว่า ปณิธานของกวี ผู้เขียนชื่อ อังคาร กัลยาณพงศ์

โอ! มันช่างมหัศจรรย์อะไรอย่างนี้ วิเศษอะไรอย่างนี้ คนเหล่านี้ พวกเขาเอาอะไรมาคิดมาเขียน สิ่งที่เรียงร่ายออกมาจากปลายปากกา เกินจะอธิบายความรู้สึกของฉันได้ มันช่างจับใจไปเสียสิ้น

[โอ้ดาวเดือนเคลื่อนคล้อย กลางดึก

แพรวพร่างตามพุ่มพฤกษ์ หิ่งห้อย

วนวังแก่งแหล่งลึก ละเมอร่ำ

เพชรแห่งน้ำค้างย้อย ยั่วฟ้าไอศูรย์ฯ

โอ้ปูนสวนสระแก้ว อุทยาน ทิพย์เอย

ชะโงกโตรกผาหวาน รูปย้อย

สุมทุมพุ่มพฤกษ์ปาน มนตร์เป่า

หอมป่าลำน้ำน้อย น่านฟ้าอาถรรพณ์

คืนนั้นยะเยือกแคว้น แดนดิน

เสียงชะโงกโตรกผาหิน สะอื้น

สายแควกระแสสินธุ์ ครวญคร่ำ

คล้ายเปล่าเปลี่ยวหนาวชื้น ทุกชั้นโลกีย์

โอ้ดึกดาวระยับย้อย วาววับ ห้วยเอย

ทุกซอกหินผาหลับ หมดแล้ว

ตื่นอยู่แต่เรากับ ความโง่

อันซื่อฝันถึงแก้ว แต่เพี้ยงนางเดียวฯ]

“อังคาร กัลยาณพงศ์” ฉันจดเอาชื่อและนามสกุลบันทึกลงไว้ในสมุดมอมฝุ่น พวกคุณเป็นคนอย่างไรกันหนอ อยากจะขอยกไว้ให้เป็นศาสดา ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า ถ้อยภาษาวิจิตรอย่างนี้มันก่อรูปขึ้นได้อย่างไร หัวใจหรือสมองกันนะ? ที่กลั่นคำถ่ายทอดออกมาได้อย่างนี้

[เสี้ยวเดือนทองทอแสง กระจ่างแจ้งชะเลเมฆ

แว่วแว่วหวานการเวก วิเวกวิมานสถานทิพย์ฯ

แววเกียรติยศยศสวรรค์ สั่นรุ้งเพชรใสไกลลิบ

คือดาววาวระยับระยิบ ทั่วสิบทิศวิจิตรนักฯ]

 

ฉันไม่อยากจะเป็นอย่างอื่นเลย ในห้วงความคิดนึกเริ่มรู้สึกอย่างนั้น อยากจะมีวันได้เขียนๆ อ่านๆ ได้จดจารตัวหนังสือลงในกระดาษสมุด…เล่มแล้วเล่มเล่า จะมีวันอย่างนี้ได้บ้างไหม ที่ตัวหนังสือของฉัน ก็ได้บันทึกอยู่ในกระดาษหนังสือ

…หนังสือ มันคือสิ่งที่วิเศษและมากมีความหมาย คือสิ่งที่ทำให้ฉันอยู่ได้ในวันที่โลกรอบข้างปราศจากสิ่งน่าอยู่ น่าพิสมัย มองไปรอบๆ ในหมู่บ้านใต้เวิ้งฟ้า ฉันมองเห็นเพียงโฉมหน้าของผู้คนที่เรียกว่า “ตกน้ำหัวเปียงกัน” ไม่มีใครดีไปกว่าใคร ทุกคนล้วนว่ายวนอยู่ในความขุ่นหม่นเขรอะขระ อย่างมากก็พากันตะเกียกตะกายจะไปให้พ้นจากความจนยาก มึงถีบกู กูถีบมึง ฟาดแข้งฟาดขา ป่ายตีนเหยียบหน้ากันอยู่ไปมา หาใครดีกว่าใครไม่ได้

ทำไมฉันจึงรู้สึกอย่างนั้นล่ะ ก็เพราะทุกๆ วันที่ไปทำงานตากแดดตากดำ ทุกๆ คนก็เพียงดิ้นรนไปเพื่อหาเช้ากินค่ำ ในคนสิบคน จะมีสักกี่คนที่ใบหน้าผ่องใส ฉันเห็นแต่ริ้วรอยหยาบกร้านหมองมัวอยู่ทั่วไป เห็นแต่ความโหยหิวกระหายใบเขียวใบแดง

และพวกเสื้อผ้าสีกากีที่อำเภอ พวกคนแต่งตัวดีๆ ที่เราพบเจอ ก็ล้วนแต่จะเห็นเราเป็นงัวเป็นควาย ฉันผ่านไปหน้าที่ว่าการอำเภอยามใด ก็มักเห็นแต่พวกข้าราชการวางอำนาจเสมอ ทุกสิ่งที่ได้เจอ มันมีอะไรดีให้อยากมีชีวิตอยู่สืบไป

การได้อ่านบทกวีที่มีถ้อยคำดิ่งลึกเข้าไปข้างใน การได้รับรู้ว่ามีบางใครก็เปลี่ยวเหงา ก็เป็นนกหลงฟ้า ก็แสวงหาที่รักที่พักพิง มันจึงเป็นสิ่งชุบชูจิตใจ มันไม่ควรค่าหรอกหรือที่จะปล่อยตัวเองฝังจมเข้าไป อยู่ในโลกในฝันเช่นนั้นบ้าง…โลกที่พวกคนอ้างว้างต่างพากันเขียนบทกวี

—————————————————————————————————————————
(1) จากหนังสือ ลำนำวเนจร, ไพวรินทร์ ขาวงาม
(2) จากหนังสือ กวีนิพนธ์ ของอังคาร กัลยาณพงศ์