บทวิเคราะห์ : “พปชร.” โชว์ทุกความพร้อม กวาด 150 เสียง เลือกตั้งที่แพ้ไม่ได้

เปิดหน้าสู้เต็มสรรพกำลังในสนามการเลือกตั้งปี 2562 อย่างเต็มที่สำหรับพรรคใหม่ แต่ไม่ใหม่ทางการเมือง อย่าง “พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)” ที่มี “อุตตม สาวนายน” นั่งกุมบังเหียนเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.

ขณะที่การขับเคลื่อนในยุทธศาสตร์การเมือง ทั้งการจัดวางตัวผู้สมัคร ส.ส. การลงพื้นที่หาเสียง มีอดีตหัวหอกจากกลุ่มสามมิตร นำโดย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานกรรมการยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ภาคอีสาน พรรค พปชร. “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรค พปชร. “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ภาคกลาง พรรค พปชร. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ภาคเหนือ พรรค พปชร. ร่วมกันวางกลยุทธ์ แบ่งสายกันลงพื้นที่

กับเป้าหมายเก้าอี้ ส.ส.หลังศึกเลือกตั้งรวมทั้งประเทศ บวก-ลบอยู่ที่ตัวเลขกลมๆ 150 เสียง แบ่งเป็นภาคอีสาน 60 เสียง ภาคเหนือ 40 เสียง ส่วนที่เหลือ 50 เสียงจะเป็นตัวเลขของ ส.ส.จากภาคกลาง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

 

โดยจุดแข็งและไฮไลต์ที่แกนนำพรรค พปชร.ใช้ในการหาเสียงสู้ศึกเลือกตั้ง 2562 คือการกลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อสานต่อนโยบายประชารัฐของรัฐบาล คสช.

พร้อมกับวางสถานะเป็นพรรคทางสายกลาง ก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง

และชูจุดขายเลือกพรรค พปชร. จะได้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยเพื่อสานต่อนโยบายของรัฐบาล คสช. ให้เกิดความต่อเนื่อง ทั้งนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในชื่อ “บัตรคนจน” ที่รัฐบาล คสช. รวมทั้งแกนนำพรรค พปชร. มั่นใจว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่จะเรียกคะแนนให้คนมาเลือกพรรค พปชร.

นอกจากนี้ยังมีนโยบายที่ “สุริยะ” และทีมยุทธศาสตร์ของพรรค พปชร. พยายามชูในการหาเสียงทุกเวที นั่นคือ “นโยบายโฉนดทองคำ” ด้วยการแปลงที่ดิน ส.ป.ก.ที่ชาวบ้านถือครองให้เป็นโฉนด ให้สามารถเปลี่ยนมือได้ เป็นหลักประกันกู้เงินจากธนาคารมาลงทุนได้ แต่ยังคงต้องยึดหลักการเดิม คือต้องทำเกษตร

โดยแกนนำพรรค พปชร.มั่นใจและเชื่อมั่นว่านโยบายแปลงที่ดิน ส.ป.ก.เป็นโฉนดนั้นจะสามารถทำได้จริงและถูกใจประชาชน รวมถึงที่ดินจะไม่ตกอยู่ในมือของนายทุนตามที่หลายฝ่ายกังวลอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันในเรื่องนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง แกนนำพรรค พปชร.ยังใช้เป็นประเด็นชูโรงหาเสียงด้วยว่า

“สิ่งแรกที่อยากจะทำคือลดหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปี ยกเลิกหนี้ ดีหรือไม่ เมื่อมีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศแล้วเศรษฐกิจจะดี ใครที่เป็นหนี้กองทุนหมู่บ้านอยู่อาจยกเลิกทั้งหมด ยกเลิกหนี้ไม่พอ จะเสนอให้ตั้งกองทุนประชารัฐ เพื่อพี่น้องประชาชนจะได้มากู้เงินไปทำธุรกิจและดูแลคนในครอบครัว เชื่อว่าเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องการ”

พร้อมกับชูประเด็นเรื่องความสงบ ไม่ขัดแย้งในทางการเมือง หากเลือกพรรค พปชร. ด้วยว่า

“วิธีที่ดีที่สุดที่ไม่ให้ทหารออกมาปฏิวัติก็คือ ประชาชนต้องเลือกพรรค พปชร. เป็นทางเลือกก้าวข้ามความขัดแย้ง เมื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำให้ประเทศกลับมาสงบได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี 3 ปีแรก ที่ประเทศยังไม่สงบ ต่างประเทศก็ยังไม่มา จากนั้นเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ถ้าพรรค พปชร.ได้รับเลือกจากพี่น้องประชาชนเป็นรัฐบาล จะสามารถแก้จนได้แน่นอน”

 

แม้นโยบายโฉนดทองคำของพรรค พปชร.จะถูก “บิ๊กตู่” ออกมาปรามๆ และตักเตือนว่า การที่พรรคการเมืองจะเสนอนโยบายเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก.ออกเป็นโฉนดนั้น ต้องดูให้รอบคอบด้วยว่าขัดกับข้อกฎหมายและหลักการใช้ที่ดิน ส.ป.ก.หรือไม่

ขณะที่ท่าทีและสัญญาณจาก “บิ๊กตู่” เกี่ยวกับนโยบายโฉนดทองคำของพรรค พปชร. แม้จะไม่ถึงกับไฟเขียวให้ทำได้อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้เบรกจนถึงขั้นต้องพับเก็บนโยบายดังกล่าวใส่ลิ้นชัก

ขณะเดียวกันท่าทีการตอบรับเข้าเป็น 1 ใน 3 ชื่อของบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรค พปชร. ของ “บิ๊กตู่” ก็เป็นไปด้วยท่าทีระมัดระวังกับคำตอบที่ตอบผ่านสื่อมวลชนล่าสุดว่า “อันแรกพรรคการเมืองต้องมาเชิญผมก่อน ถ้ามีการเชิญชวนมาก็ต้องดูนโยบายว่าเป็นอย่างไร ถ้านโยบายมันไม่ชัดเจน ไม่ดี ก็ต้องบอกเขาว่าแล้วจะทำยังไง ถ้าอยากจะให้ไปอยู่ ทำอย่างนี้มันไม่ได้ แล้วเขาจะฟังหรือไม่”

“ถ้าคิดว่าจะต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานต่อ คงต้องอยู่พรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ต้องเป็นพรรคที่ทำงานด้วยความตั้งใจ เสียสละอย่างแท้จริง และทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า ไม่ใช่ไปล้มล้างทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด เสียเวลาเปล่า มีหลายอย่างที่สำเร็จมา”

ในทางกฎหมายแม้จะยังมีเวลาที่ “บิ๊กตู่” จะตกปากรับคำเป็น 1 ใน 3 ชื่อว่าที่นายกฯ ของพรรค พปชร.

หากนับจากเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ลงมาคือวันที่ 23 มกราคม

จากนั้นภายใน 5 วัน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส. หากเป็นไปตามไทม์ไลน์คือ วันเลือกตั้ง ส.ส. เลื่อนมาเป็นวันที่ 24 มีนาคม กกต.จะต้องเปิดรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. 5 วัน คือในห้วงวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์

โดยในห้วงวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. 5 วัน แต่ละพรรคนอกจากจะต้องเปิดชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตทั้ง 350 คน และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 150 คนแล้ว ยังจะต้องเปิดเผยชื่อว่าที่นายกฯ ไม่เกิน 3 รายชื่อในการเลือกตั้งด้วย

แต่จากคำตอบล่าสุดของ “บิ๊กตู่” ที่ระบุถึงสเป๊กของพรรคที่จะไปร่วมงานด้วย กอปรกับสัญญาณที่แกนนำพรรค พปชร.ระบุถึงสเป๊กว่าที่นายกฯ ของพรรค พปชร.ที่ระบุว่า จะต้องเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจ มีความสามารถในการบริหาร นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งตามแนวทางของพรรค ทำให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบสุข นำประเทศให้พัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ว่าที่บัญชีนายกฯ ของพรรค พปชร.คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “พล.อ.ประยุทธ์” รอเพียงการ “เซย์เยส” และเปิดชื่ออย่างเป็นทางการเท่านั้น โดยพรรค พปชร.จะใช้ทั้งชื่อของ “บิ๊กตู่” ชื่อของผู้สมัคร ส.ส. และนโยบายของพรรค นำไปใช้ในการหาเสียงสู้ศึกเลือกตั้ง 2562

อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดระบุว่า พรรคไดด้วางไว้แล้วที่จะใช้สิทธิเสนอชื่อนายกฯตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด 3 คน โดยคนแรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ คนที่ 2 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และคนที่ 3 นายอุตตม สาวนายน

ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ เดิมพันไว้สูงมากว่าต้องชนะเพียงอย่างเดียว และต้องทำให้ได้จริง ไม่ใช่แค่ราคาคุย เพราะไม่เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เพียรสร้างมา คงต้องกลับไปสู่คำว่า “เสียของ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก