รายงานพิเศษ/ถอดรหัส ‘เตรียมทหาร’ ‘บิ๊กป้อม-ทักษิณ’ สะบั้น รุ่นก่อน-รุ่นหลัง ตัดขาดพี่-น้อง ย้อนอดีตหวาน ‘แม้ว-3 ป.’ กับวาทกรรม ‘แบบป้อมๆ’

รายงานพิเศษ

 

ถอดรหัส ‘เตรียมทหาร’

‘บิ๊กป้อม-ทักษิณ’ สะบั้น

รุ่นก่อน-รุ่นหลัง  ตัดขาดพี่-น้อง

ย้อนอดีตหวาน ‘แม้ว-3 ป.’

กับวาทกรรม ‘แบบป้อมๆ’

 

สายสัมพันธ์พี่น้องเตรียมทหารของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพิ่งจะมาสะบั้นตัดพี่ตัดน้องกันตอนนี้

เพราะสำหรับนายทักษิณแล้วคงไม่ได้นับถือ พล.อ.ประวิตรเป็นรุ่นพี่ และมองบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เป็นรุ่นน้อง มาตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

และต่อเนื่องมาจนทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น น้องสาวแท้ๆ ต้องหนีออกนอกประเทศในที่สุด

แล้วอาจจะรวมถึงเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวอีกคน ที่คาดว่าหนีไปต่างประเทศแล้ว และอาจต้องเป็น “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ลูกชายคนเดียว ที่อาจต้องหนีไปอีกคนในที่สุด

จึงไม่แปลกที่นายทักษิณจะเรียก พล.อ.ประวิตรว่า “ป้อม” เฉยๆ ไม่มีสรรพนามเรียกว่าพี่ ในทวิตเตอร์ เพราะหากเป็นภาษาพูดกับคนใกล้ชิด ก็คงจะเรียกด้วยสรรพนามอื่น ด้วยความเจ็บแค้น

“เขาคงไม่นับถือผมเป็นพี่หรอก” พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงสายสัมพันธ์กับนายทักษิณ

เช่นเดียวกัน พล.อ.ประวิตรก็ถึงขั้นบอกว่า นายทักษิณไม่ได้เป็นน้อง แต่เป็นแค่รุ่นน้อง

ก่อนที่จะใช้คำว่า “รุ่นหลัง”

เพราะสำหรับสายเลือดเตรียมทหาร หรือ จปร. แล้ว หากเรียกกันว่ารุ่นพี่หรือรุ่นน้อง ยังสะท้อนนัยยะของสายสัมพันธ์ที่นับถือกันเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง

แต่หากใช้คำว่า “รุ่นก่อน” แทนคำว่ารุ่นพี่ และใช้คำว่า “รุ่นหลัง” แทนคำว่ารุ่นน้อง ก็เป็นการสะท้อนนัยยะว่า ไม่ได้เคารพนับถือเป็นพี่น้องใดๆ กัน

พล.อ.ประวิตร เป็นเตรียมทหาร 6 ส่วนอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ที่เคยได้จารึกชื่อในหอเกียรติยศโรงเรียนเตรียมทหารว่า เป็นศิษย์เก่าคนแรกที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง

ครั้งหนึ่ง พล.อ.ประวิตรเคยใกล้ชิดสนิทสนมกับนายทักษิณ เมื่อครั้งเป็นนายกฯ อย่างมาก โดยเฉพาะกับคุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า

จนกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าขานถึงการที่ พล.อ.ประวิตรได้เป็น ผบ.ทบ. ถึงขั้นที่นายทักษิณสั่งเด้งบิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

ท่ามกลางกระแสข่าวแรงสนับสนุนจากบ้านจันทร์ส่องหล้า หรือแม้แต่สายสัมพันธ์กับนายเสนาะ เทียนทอง ในเวลานั้น

จนทำให้ต่อมาในยุคนี้ นายทักษิณทวีตข้อความเหน็บแนม พล.อ.ประวิตร ว่า ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมา “เกาะโต๊ะ ขอเป็น ผบ.ทบ.” เลย

และตามมาด้วยการประชดประชันที่ว่า “ทหารที่อาสาเข้ามาทำงานการเมืองแบบตรงไปตรงมา น่าชื่นชมกว่าทหารที่เข้ามาโดยการยึดอำนาจไหมครับ ป้อม”

หลัง พล.อ.ประวิตรออกมาตำหนิบิ๊กบอร์ช พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรอง ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่รู้จักข้าวแดงแกงร้อน หลังไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ

จนมาถึงการเหน็บแนมด้วยคำว่า “กระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ” หลัง พล.อ.ประวิตรปิดประตูการเจรจา แต่ให้กลับมาต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม

จนเป็นที่มาของการที่ พล.อ.ประวิตรตัดขาดสัมพันธ์ ด้วยการระบุว่า เขาไม่ได้เป็นน้องผม เป็นรุ่นน้อง เป็นรุ่นหลัง

ฝ่ายนายทักษิณก็คงไร้เยื่อใยใดๆ กับ พล.อ.ประวิตร จึงเรียกว่า “ป้อม” ทุกคำ

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรก็ใช้สรรพนามเรียกแบบมีคำนำหน้าว่า “ไอ้” หรือแทนตัวว่า “มัน” ตามสไตล์การพูดของบิ๊กป้อมอยู่แล้ว

เพราะการเจรจาต่อรองของ คสช. ไม่ว่าจะ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร หรือบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รอง กับนายทักษิณ ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้

แม้ว่าจะเคยมีความพยายามมาหลายครั้ง ตั้งแต่หลังรัฐประหาร โดยที่ พล.อ.ประวิตรเป็นเป้าหมายหลัก เพราะมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกันมากที่สุด

จึงไม่แปลกที่หลังรัฐประหาร กว่า 4 ปีที่ผ่านมา มักมีข่าวลือและการถูกจับตามองว่า พล.อ.ประวิตรแอบเจรจากับนายทักษิณ หรือตัวแทน หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตรไปต่างประเทศ

โดยที่ พล.อ.ประวิตรก็ปฏิเสธมาทุกครั้ง จนมาถึงปัจจุบัน ว่าไม่เคยคุย และไม่เคยพบนายทักษิณเลย

แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ถูกจับตามองมาตลอดเช่นกัน ในฐานะที่เป็นรุ่นน้องเตรียมทหาร 12 ของนายทักษิณ อีกทั้งที่ผ่านมาก็เคยเรียกนายทักษิณว่า “พี่ทักษิณ”

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยืนกรานมาจนปัจจุบัน ตลอดกว่า 4 ปี ว่าไม่เคยพบหรือคุยกับนายทักษิณ หรือตัวแทนใดๆ เพราะหลักการคือ นายทักษิณต้องกลับมาต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น

แต่คนที่ถูกเล็งมากที่สุดคือ พล.อ.อนุพงษ์ เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 ของนายทักษิณเลยทีเดียว แถมเคยสนิทสนมกันอย่างมาก จนนายทักษิณเป็นคนเลือก พล.อ.อนุพงษ์ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค ที่ 1 คุมกำลังปฏิวัติ เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนและเป็นคนเก่ง ทั้งๆ ที่นายทักษิณสามารถเลือกบิ๊กต้น พล.อ.จิรสิทธิ์ เกษะโกมล เพื่อนรักเพื่อนซี้ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ได้

แต่อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต ที่ทำให้นายทักษิณเลือก พล.อ.อนุพงษ์มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แล้วก็ร่วมมือกับบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ที่เขาแต่งตั้งมากับมือ รัฐประหาร ล้มอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 นั่นเอง

จึงทำให้วันนี้ นายทักษิณยังคงใช้ชีวิตในต่างแดน ไม่อาจกลับเข้ามาสู้คดีความต่างๆ เพราะเขาเคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า หากกลับมา เขาอาจจะเสียชีวิต

หนำซ้ำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาว ก็ต้องเร่ร่อนอยู่ต่างแดนกับเขาด้วยเช่นกัน หลังถูกรัฐประหารล้มระบอบทักษิณภาค 2 และโดนเล่นงานในคดีจำนำข้าว

แม้จะมีความพยายามในการเจรจากับแกนนำ คสช. โดยเฉพาะ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” เกิดขึ้นอีกก็ตาม แต่ก็ถูกปิดประตูใส่หน้าทันที

“ไม่มีเจรจา ไม่มีต่อรอง ต้องไปคุยกับศาลสิ” พล.อ.ประวิตรกล่าว

“กระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ เป็นยังไง ก็ไปหาไอ้ทักษิณ แล้วถามมันเองสิ” บิ๊กป้อมระบุ

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายทักษิณตอบโต้ตนเองบ่อย ก็เพราะอยากจะคุยกับเรา

 

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ยึดหลักการที่จะไม่เจรจาใดๆ กับคนที่หลบหนีคดี และมองว่าไม่ใช่สงครามการสู้รบใดๆ จึงจะต้องมีการเปิดโต๊ะเจรจา

อันเป็นการสะท้อนว่า สายสัมพันธ์เตรียมทหาร ระหว่างนายทักษิณ เตรียมทหาร 10 กับพี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ เตรียมทหาร 6-10-12; สะบั้นลงแล้ว

จึงมีเพียงการทำศึกสงครามชิงอำนาจกันต่อ เฉกเช่นที่นายทักษิณพยายามมาตลอด ตั้งแต่ปี 2549 หลังรัฐประหารภาคแรก ล้มระบอบทักษิณ จนมาถึงรัฐประหารภาค 2 ปี 2557 สกัดระบอบทักษิณ ป้องกันการ “เสียของ”

และเป็นการสะท้อนด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะสู้ศึกเลือกตั้ง และมั่นใจในชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้า ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม จะไม่มีทางยอมให้ “เสียของ” ซ้ำรอย

การไม่เจรจา เป็นการส่งสัญญาณด้วยว่า พร้อมแตกหัก ต่อให้พรรคเพื่อไทยหรือพรรคแนวร่วมชนะเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม

โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีความแน่นอนเลยว่า การเลือกตั้งจะเลื่อนไปวันไหน หรือในที่สุดจะมีการเลือกตั้งหรือไม่

เพราะในเวลานี้ ดูเหมือน “ธงของ คสช.คือการจัดเลือกตั้งก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ให้ กกต.รับรองผลการเลือกตั้งหลังจากนั้น 60 วัน

นั่นหมายถึง การเปิดช่องให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองได้เต็มที่

เพราะหากเป็นเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 จะประกาศรับรองผลเลือกตั้งภายใน 24 เมษายน ซึ่งถือว่าก่อนพระราชพิธี ซึ่งเชื่อกันว่า ในเวลานั้นการเมืองจะสงบเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าออกมาเคลื่อนไหวใดๆ เพราะใกล้จะมีพระราชพิธี

เพราะหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และจับมือพรรคแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาล หนทางก็จะสะดวกราบรื่น ไม่มีมวลชนกลุ่มต่อต้านออกมาเคลื่อนไหวไม่ยอมรับ

แต่หากเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีก ไม่ว่าจะ 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน และไปประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง หลังพระราชพิธี ย่อมเป็นการเปิดช่องให้เกิดความวุ่นวาย ที่เกิดจากการประกาศผลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ทั้งการหมิ่นเหม่ว่าการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ เพราะเลยวันที่ 9 พฤษภาคม ที่อยู่ในกรอบ 150 วันไปแล้ว ทั้งสุ่มเสี่ยงจากการประกาศให้ใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม หรือแม้แต่การยุบพรรคเพื่อไทย

หรืออาจมี “กับระเบิด” ใดๆ ของ คสช.ที่อาจขุดบ่อล่อไว้ในเวลานั้นหรือไม่

จนในที่สุด อาจนำไปสู่สถานการณ์วุ่นวาย ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใด จนเสี่ยงต่อการปฏิวัติซ้ำ ปฏิวัติตัวเอง โดยกองทัพที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้ว

โดยเฉพาะบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ที่คุมกำลังรบมากที่สุด

สถานการณ์ในเวลานั้น อาจนำไปสู่การมีรัฐบาลแห่งชาติ หรือแม้แต่รัฐบาลพิเศษ ในสถานการณ์พิเศษขึ้นมา

โดยที่อาจจะมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เพราะเขาก็มิปรารถนาที่จะเป็นนายกฯ ในรัฐบาลที่มีฝ่ายค้าน ไม่อยากจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา

หรือในอีกสถานการณ์หนึ่ง อาจนำไปสู่การมีอดีตบิ๊กทหารใหญ่มาเป็นนายกฯ ในรัฐบาลพิเศษ หรือสถานการณ์พิเศษ ก็เป็นได้

กล่าวกันว่า การเมืองในเวลานี้ มีความละเอียดอ่อน แต่ทว่า ซับซ้อนอย่างยิ่ง

เพราะตัวละครไม่ได้มีแค่ฝ่ายทักษิณ คนเสื้อแดง และพี่น้อง 3 ป. และ คสช.เท่านั้น

ที่สำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นคนเดินเกมฝ่ายเดียวอีกต่อไป โอกาสเดินผิดพลาดย่อมอาจเกิดขึ้นได้

แต่ทว่า เกมนี้ก็มีเดิมพันสูงมากเลยทีเดียว…