อาชญากรรม : “โบว์-วัฒนา” ย้อนเกล็ดมือมืด แปรวิกฤต “คลิปฉาว” เป็นโอกาส เปิดโปงไอ้โม่งใต้เตียง

กลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างลือลั่น

สำหรับกรณีมือดีปล่อยคลิปความสัมพันธ์ส่วนตัวของบุคคล 2 คน

โดยพยายามชงประเด็นว่าเป็นเรื่องของนักการเมืองชาย กับนักกิจกรรมสาว

คาดว่ามีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียง ให้เกิดความอับอาย

แต่ที่ไหนได้ เมื่อทั้งคู่เปิดหน้าออกมายอมรับว่าเป็นตัวของเขาเองที่ถูกพูดถึง

พร้อมยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพในความสัมพันธ์ โดยไม่ได้ทำอะไรผิดต่อใคร

เป็นเรื่องของคนโสด 2 คน!??

กระแสสังคมก็เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ และยังตีกลับกลายเป็นการตั้งประเด็นสงสัยถึงที่มาของคลิปดังกล่าว

เมื่อเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วถูกเปิดเผยมาได้อย่างไร

ประกอบกับคลิปอีกชุดที่เป็นภาพทั้งคู่เดินเข้าร้านอาหาร แสดงให้เห็นถึงการแอบติดตามอย่างเป็นระบบ

ไอ้ที่ว่าถ่ายเอง หลุดออกมาเอง ตัดทิ้งไปได้

กลายเป็นคำถามว่า ใครกันแน่ที่มีศักยภาพทำได้ถึงขนาดนี้ แล้วจะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปหรือไม่

เมื่อทั้งคู่ตัดสินใจดำเนินคดี จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะกระชากหน้ากากไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังออกมา

ฮือฮาคลิปฉาวว่อนเน็ต

เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวครึกโครมขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม เมื่อมีภาพที่แคปจากคลิปวิดีโอจากสถานที่แห่งหนึ่ง อ้างว่าเป็นคลิปความสัมพันธ์ของนักการเมืองคนดังและนักกิจกรรมสาว นอกจากนี้ยังมีคลิประหว่างที่นักการเมืองเดินจากลานจอดรถเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นนักกิจกรรมสาวก็เดินตามมา ลักษณะคล้ายกับการถ่ายจากกล้องหน้ารถโดยคนที่เฝ้าติดตาม

โดยคลิปและภาพนิ่งดังกล่าวถูกแชร์ไปในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง ซึ่งมีกลุ่มที่ฝักใฝ่การเมืองรูปแบบหนึ่งพยายามนำไปขยายความเพื่อโจมตีอ้างความไม่เหมาะสมต่างๆ นานา

แต่ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมคนอยากเลือกตั้ง ที่เคยเคลื่อนไหวต่อสู้ให้ปล่อยนักโทษทางการเมืองและมีจุดยืนต่อต้านเผด็จการ ก็โพสต์ข้อความยอมรับว่าบุคคลในคลิปนั้นเป็นตน

ระบุอีกว่า เชื่อว่าเป็นปฏิบัติการไอโอ ซึ่งตนก็เคยมีประสบการณ์ถูกกล่าวหามาแล้ว เมื่อตอนมีการถกเถียงเรื่องโทษข่มขืนต้องประหารชีวิตหรือไม่

เชื่อว่าเป็นความพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของสังคม และสิ่งที่เป็นประโยชน์สาธารณะ

ขณะที่นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็โพสต์ระบุว่า ตั้งใจจะไม่พูดเรื่องนี้ให้เป็นประเด็น เพราะจะเข้าทางคนที่ทำเรื่องสกปรกแบบนี้ เรื่องนี้คิดได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนทำและทำด้วยเจตนาอะไร แต่สิ่งที่สังคมควรตั้งสติ คือเราจะสนับสนุนเจตนาของผู้ทำหรือไม่

ข่าวที่ปล่อยมาเป็นเรื่องของคนโสด 2 คนที่ไม่ได้ทำความผิดต่อใคร และไม่ได้เป็นประเด็นสาธารณะ แต่คนที่เอาเรื่องแบบนี้มาทำลายต่างหากที่มีเจตนาทุจริต ใช้วิธีสกปรกเพื่อเบี่ยงเบนผู้คนออกจากประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ

อาทิ การระดมทุนของพรรคการเมืองหนึ่งที่มีชื่อของส่วนราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือเรื่องนาฬิกาที่ไม่มีความคืบหน้า รวมทั้งการโกงเลือกตั้งด้วยวิธีต่างๆ อย่างเป็นระบบ

สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการก่ออาชญากรรมที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝีมือใคร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนวิธีสกปรกแบบนี้ ตั้งแต่ถูกทำร้าย ปรับทัศนคติ ยัดข้อหา และถูกดำเนินคดี เพื่อปิดปากให้หยุดต่อสู้ แต่ไม่สำเร็จ เลยหันมาใช้วิธีที่สกปรกยิ่งกว่า

“อย่างเดียวที่จะหยุดผมได้คือผมไม่มีชีวิต ถ้ากล้าทำถึงขนาดนั้นก็จนปัญญา ขอขอบคุณทุกกำลังใจและความเข้มแข็งของคนที่ยืนเคียงข้าง”

ยืดอกยอมรับเช่นนี้ สปอตไลต์ย่อมสาดส่องไปยังทางอื่น

“โบว์-วัฒนา” ลุยฟ้อง

แม้ตอนแรกทั้งคู่ประกาศจะไม่แจ้งความดำเนินคดี เพราะไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อมีกระแสคัดค้าน โดยระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงการคุกคามสิทธิเสรีภาพอย่างชัดเจน และเป็นที่น่าสังเกตว่าในคลิปที่เดินออกจากลานจอดรถ แสดงให้เห็นว่ามีการติดตามสะกดรอยอย่างเป็นระบบ ผ่านการวางแผนไว้ทุกขั้นตอน

รวมทั้งภายในห้องพัก ที่ระบุว่าเป็นโรงแรมแห่งหนึ่ง มีการซ่อนกล้องแอบถ่ายไว้อย่างแนบเนียน อีกทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมาไม่ต่ำกว่า 5 เดือน แต่คลิปดังกล่าวเพิ่งปรากฏ ราวกับต้องการรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม

จึงควรอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรม ทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนอื่นด้วย

เป็นเหตุให้โบว์ ณัฏฐา โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ระบุว่า “ขอบคุณคำแนะนำจากหลายองค์กรในแวดวงสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ต่อสังคมในทุกประเด็นที่ท่านแลกเปลี่ยนมา เราตัดสินใจฟ้อง”

จากนั้นโบว์ให้สัมภาษณ์ผ่านวอยซ์ทีวีว่า ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเหยื่อ ที่ผ่านมาคบใครก็ไม่เคยปิดบัง แต่คิดว่าอย่างมากก็แค่ถูกแอบถ่ายรูปตอนนั่งกินข้าว ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ ก่อนหน้านี้มีรถกระบะกับรถจักรยานยนต์ไปถ่ายรูปที่บ้าน ตอนนี้คิดว่ารถอาจถูกติดตั้งอุปกรณ์ติดตาม

ตอนแรกว่าจะไม่ฟ้อง เพราะคิดว่าเป็นการเบี่ยงประเด็น มีปล่อยภาพ มีโลโก้พรรค เห็นก็รู้ว่าใคร เพราะโบว์กับคุณวัฒนามีศัตรูร่วมกันแค่คนเดียว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้ว 5 เดือน แต่มีคนตั้งใจเก็บคลิปรอจังหวะปล่อย

ตอนนี้เชื่อว่าคงมีคลิปสต๊อกไว้พอสมควร จึงตัดสินใจฟ้อง แม้สาวไม่ถึงผู้บงการ ก็จะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ถูกละเมิดสิทธิ์

ขณะที่นายวัฒนาก็โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เหตุการณ์นี้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องการเมือง มีการติดโลโก้ของพรรคเพื่อไทยไว้ทุกคลิป เจตนาเพื่อทำลายตนและพรรค คงคิดว่าจะทำให้ผมถอย หรือทำลายผมและพรรคเพื่อไทยที่เป็นเป้าหมายได้ แต่กลายเป็นว่าทำให้ประชาชนตาสว่างมากขึ้น

ผมจะไม่เสียเวลากับเรื่องสกปรกที่ถูกกระทำให้เปลืองพื้นที่ประชาชน แต่จะต้องฟ้องร้องเจ้าของโรงแรมและผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ การดำเนินคดีจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

1. ผู้ที่นำมาโพสต์จากคอมพิวเตอร์เครื่องไหน หรือสื่อไหน ขยายไปถึงผู้แชร์

2.กลุ่มที่สั่งการ

และ 3. โรงแรมที่เกิดเหตุ ซึ่งโดยหลักไม่สามารถติดกล้องแอบถ่ายได้

กระชากหน้ากากไอ้โม่งออกมาให้ได้

บิ๊กแดงแถลง ทบ.ไม่เกี่ยว

อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องแพร่ออกไป สายตาสังคมก็จับจ้องไปที่กองทัพ เป็นเหตุให้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. แถลงชี้แจง โดยยืนยันว่า

1. กองทัพบกเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงและมีความเป็นมืออาชีพ ไม่เคยใช้คนหรือเครื่องมือนอกเหนืองานด้านความมั่นคงและผิดจรรยาบรรณโดยเด็ดขาด

2. คำว่า IO (Information Operation) หรือการต่อต้านงานด้านการข่าว และการต่อต้านการข่าวกรองทางทหาร จะปฏิบัติต่อกลุ่มคนหรือองค์กรที่ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกลุ่มที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติเท่านั้น

3. ทบ.เข้าใจและเห็นใจต่อผู้เสียหายจากการใช้โซเชียลมีเดียทุกคน และขอให้สังคมให้ความเป็นธรรมและใช้วิจารณญาณกับสิ่งที่เกิดขึ้น

4. ปรากฏการณ์ใส่ร้ายป้ายสีก่อนการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติของสังคมไทยมาทุกยุคสมัย

5. ทบ.มีประสบการณ์ในวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นมาทุกสมัย และทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ทบ.มักตกเป็นจำเลยของสังคมโดยที่กลุ่มเห็นต่างมิได้มองถึงสาเหตุหรือต้นเหตุแห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ขอนำอมตวาจาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหา คณะปฏิวัติเป็นเพียงปลายเหตุ คนโกงต่างหากคือต้นเหตุ”

ขณะที่ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.กก.3 บก.ปอท. ในฐานะโฆษก บก.ปอท. กล่าวถึงกรณีที่มีการแชร์ส่งต่อภาพและคลิปดังกล่าวว่า เบื้องต้นจากที่ดูคลิปความยาว 6 วินาที พบว่าอาจยังไม่ชัดเจนที่จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงการแสดงความเห็นหรือคอมเมนต์ในลักษณะคึกคะนองที่สร้างความเสียหายให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท นอกจากนี้ หากมีผู้ใดนำภาพนิ่งในคลิปไปตัดต่อในทางเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใดอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 16 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

เป็นการแสดงท่าทีจากหน่วยงานของรัฐ