โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง /การเดินทางของเงิน 1,000 เหรียญ

โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

การเดินทางของเงิน 1,000 เหรียญ

เมื่อเร็วๆ นี้มีใครได้ข้อความนี้ทางไลน์บ้างคะ อ่านกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน ข้อความมีว่า

“ยามบ่ายที่ร้อนอบอ้าว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บนถนนไร้ผู้คน ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซามานาน ชาวบ้านชาวช่องหรือพ่อค้าต่างมีหนี้สินล้นพ้นตัว อาศัยการติดหนี้ติดสินประคองตัวรอดไปวันๆ

ในเวลานั้นมีนักท่องเที่ยวท่าทางร่ำรวยเดินเข้ามาในโรงแรม แกหยิบธนบัตรฉบับหนึ่งพันเหรียญออกมาวางบนเคาน์เตอร์ บอกเจ้าของโรงแรมว่าจะมาหาห้องนอนค้างแรม แต่ก่อนอื่นต้องขอแกขึ้นไปเดินสำรวจหาห้องนอนที่ถูกใจก่อน พอพนักงานพาแขกขึ้นไปเลือกห้อง เจ้าของโรงแรมรีบนำเงินพันเหรียญตรงไปร้านขายหมูที่อยู่ติดกับโรงแรม เพื่อชำระหนี้ค่าเนื้อหมูที่ติดค้างกันไว้ พ่อค้าขายหมูพอได้รับเงิน ก็รีบเดินข้ามถนนไปชำระหนี้พันเหรียญที่ติดค้างกับคนเลี้ยงหมู คนเลี้ยงหมูพอได้รับเงินก็รีบตรงไปร้านขายอาหารสัตว์ไปชำระหนี้ คนขายอาหารสัตว์เมื่อได้เงินก็ไม่รอช้า รีบนำเงินไปจ่ายค่าตัวผู้หญิงหากินที่ยังค้างหนี้หล่อนอยู่ เหตุเพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ต่อเนื่องกันมานาน ธุรกิจทุกรูปแบบจึงต้องยอมอนุโลมซื้อขายกันเป็นเงินเชื่อทั้งนั้น สุดท้ายผู้หญิงหากินคนนั้นก็หยิบเงินพันเหรียญตรงไปจ่ายค่าห้องที่ติดหนี้โรงแรมไว้

ในเวลาถัดมา แขกที่เดินขึ้นไปสำรวจห้องพักก็เดินลงมาจากชั้นบน แกบอกเจ้าของโรงแรมว่าไม่มีห้องที่แกถูกใจ ว่าแล้วแกก็ขอเงินคืนก่อนเดินออกจากโรงแรมไป

เหตุการณ์ในวันนั้น ไม่มีใครขายสินค้าหรือบริการอะไรได้เลย และก็ไม่มีใครได้รับสินค้าหรือใช้บริการใดๆ จากใครทั้งนั้น … แต่ทุกคนก็ได้จ่ายหนี้จ่ายสินไปเรียบร้อยหมด ต่างโล่งอกกันถ้วนหน้า

นิทานเรื่องนี้บอกให้รู้ว่า

เงินทองต้องมีการหมุนเวียน จึงจะเกิดมูลค่า และเศรษฐกิจจะดีได้ก็ต้องมีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ”

 

สําหรับผู้เขียนแล้ว นิทานเรื่องนี้ยังสอนอะไรอีกหลายอย่าง ที่ว่าต้องหมุนเวียนจึงจะเกิดมูลค่านั้นเห็นได้ชัดมากอยู่แล้ว ส่วนที่บอกว่าต้องการการบริหารที่มีประสิทธิภาพก็ยิ่งจริงใหญ่ เห็นได้จากหลายกรณี

อย่างเช่น การที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจกู้เงินธนาคารมาใช้ก่อน เพื่อมาบริหารธุรกิจ แล้วจ่ายดอกไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่มีกำไรก็คืนธนาคารไป

เงินที่ได้มาหมุนเวียน จ่ายเงินเดือนให้พนักงาน จ่ายค่าเช่าตึก จ่ายค่าอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงาน เงินที่พนักงานได้ไปก็ได้ไปหมุนเวียนส่งค่างวดบ้าน จ่ายค่าผ่อนรถ ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน ซื้ออาหารสดและสำเร็จรูป ซื้อเสื้อผ้า ไปกินอาหารนอกบ้าน เศรษฐกิจก็หมุนไปยังเจ้าของสินค้าที่พนักงานจับจ่ายไป

ทางฝ่ายธนาคารที่ให้กู้ก็ได้รับดอกเบี้ย เป็นรายได้ที่ทำให้ธนาคารอยู่ได้

 

อีกมุมมองหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือ เศรษฐกิจจะหมุนไปได้ ทุกคนต้องทำงาน ต้องมีการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านค้าเนื้อหมู คนขายอาหารสัตว์ หรือแม้แต่ผู้หญิงอาชีพบริการ ในนิทานเรื่องนี้ต่างก็ทำงานทั้งนั้นไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ

ถ้าจะสังเกตให้ดี จะเห็นว่าประเทศไทยนั้นตัวเลขคนว่างงานต่ำมากๆ จะสรุปว่าคนไทยขยันก็คงจะได้ ทุกคนไม่อยู่นิ่งเฉย อาชีพเล็กๆ น้อยๆ ก็ยินดีทำ

ตั้งข้อสังเกตกันว่า เดี๋ยวนี้หญิงทำงานบ้านหาไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะรายได้ของหญิงทำงานบ้านดีกว่าแต่ก่อน ถ้าบริหารเงินดีๆ สามารถส่งลูกเรียนสูงๆ ได้ รายได้ 15,000-20,000 บาท ของแม่บ้านสามารถจ่ายเป็นค่าอาหารและค่าเล่าเรียนลูกได้

พวกเธอหาซื้ออาหารกันที่ไหน อาหารตามตลาดสด หรือตลาดนัดใกล้บ้านราคายังถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต เงินเดือนของเธอก็ได้ไปอุดหนุนแม่ค้าตลาดสด ที่มีรายได้ไปส่งเสียลูกเรียนอีกเหมือนกัน

เงิน 1,000 บาทที่ส่งผ่านจากมือหนึ่งไปยังอีกมือหนึ่งในหมู่บ้าน จะว่าไปก็คล้ายๆ กับการใช้ e-payment ในยุคนี้ คือเงินผ่านจากผู้ซื้อสินค้าไปยังผู้ขายสินค้า แล้วผู้ขายสินค้าก็เอาไปชำระหนี้ที่ไปสั่งสินค้ามาอีกที บริษัทที่ส่งสินค้าเป็นล็อตใหญ่ๆ นี้ก็ต้องจ่ายเงินเดือนพนักงาน ซึ่งก็จะได้เงินไปใช้จ่ายต่อไป

 

นิทานเรื่องนี้ยังสอนให้เราคิดได้ว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี อย่าหยุดใช้จ่าย อย่าทำแบบคนญี่ปุ่นที่เอาแต่เก็บเงินทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เพราะเงินไม่เคลื่อนไหวจากกระเป๋าหนึ่งไปอีกกระเป๋าหนึ่ง

พวกเราคนไทยก็เช่นกัน อย่าเอาแต่ประหยัดหรือที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า “เขียม” จงเอาเงินไปท่องเที่ยว ซื้อหาของใช้จำเป็น จ้างแม่บ้าน เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนไป และให้คนในสังคมมีงานทำและมีรายได้

การประหยัดแต่อย่างเดียวเป็นวิธีคิดที่ไม่สร้างสรรค์ แทนที่จะประหยัด น่าจะมีงานเสริม เช่น ทำงานบริษัทแล้ว ได้เอาเงินให้ครอบครัวใช้จ่ายแบบพอควรแก่อัตภาพแล้ว ก็ยังขายของหรือทำธุรกิจอื่นๆ ไปด้วย เพื่อเอาเงินที่ได้มากขึ้นพาครอบครัวไปเที่ยว หรือซื้อของพิเศษให้คนพิเศษ จะเพื่อความสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือเพื่ออนาคตของครอบครัว ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

ขอให้ทุกคนมีความสุขในปีใหม่นะคะ