การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ถ้ามึงไม่ช่วยกูไม่ช่วยมัน

[เพียงบัว, มิตรที่น่ารักของฉัน

วันนี้ท้องฟ้ามีสีส้มจัด ในอากาศมีกลิ่นหอมของควันไฟ รู้อะไรมั้ย ฉันคิดถึงเธอจัง อยากให้เธอมาอยู่แถบแถวนี้ ถ้ามีโอกาส ฉันจะพาเธอไปเดินเล่นตามคันนา

เพียงบัวรู้มั้ย, ในหน้าหนาวอย่างนี้ (ใช่ ถึงหน้าหนาวอีกแล้วล่ะ!) ท้องฟ้าจะมีสีเข้มขึ้น ตอนกลางวันจะเป็นสีน้ำเงินกระจ่าง มักมีก้อนเมฆขาวๆ ลอยฟู แต่ตกค่ำ ความมืดจะทาบทาลงมาเร็วมาก หากเผลอประเดี๋ยวเดียว สีหมากสุกที่ขอบฟ้าก็จะเกลื่อนกลายไปสู่ความเป็นราตรี…]

 

กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของฉัน เมื่อกลับจากทำงาน จะต้องรีบอ่านจดหมายที่มาถึงใหม่ๆ ก่อนจะไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็เข้าห้องเขียนจดหมายตอบเพื่อนใหม่

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันมีซองจดหมายแนบรวมกันไว้เป็นปึกๆ เคียงคู่กับหนังสือที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในห้องนอน เพื่อนใหม่ที่ใจดีคอยส่งหนังสือมาบ่อยๆ มีทั้งเรื่องสั้น นิยาย บทกวี และมีหลายต่อหลายเล่มเป็นเรื่องแปล

ฉันเริ่มได้รู้จักชื่อของจอห์น สไตน์เบ็ค, วิมล ไทรนิ่มนวล, แสงดาว ศรัทธามั่น, กฤษณะมูรติ, เฮสเส, ดอสโตเยฟสกี้, แม็กซิม กอร์กี้, พนม นันทพฤกษ์, น้ำตาลปึก…ฯลฯ

ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงบัวจะเป็นนักอ่านที่จริงจังเหลือเกิน นอกจากหนังสือเล่มๆ ยังมีนิตยสารสู่ฝัน, นิตยสารโลกหนังสือ, ถนนหนังสือ และเพียงบัวเล่าว่า มีนักเขียนคอลัมน์คนหนึ่งที่เธอชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เขาใช้นามปากกาว่า “สิงห์ สนามหลวง”

เพียงบัวเขียนเล่ามาด้วยว่า “สิงห์” เป็นคนที่รอบรู้มากมาย ใครถามไปเรื่องหนังสือและนักเขียนต่างๆ “สิงห์” ก็จะตอบอย่างรู้ลึกรู้ดี แถมมีอารมณ์ขันมากมาย เธอยังเคยเขียนจดหมายไปหาเขาด้วย

ฉันอ่านจดหมายของเพียงบัวอย่างเพลิดเพลินทุกฉบับ พร้อมกับทยอยอ่านหนังสือที่เธอส่งมา เพียงบัวบอกว่า

“ฉันดีใจที่เธอมีความสุขกับการอ่าน ฉันก็มีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับหนังสือ มันดีจะตายเมื่อได้มีโอกาสแบ่งหนังสือให้เธออ่าน แค่เก็บรักษามันดีๆ ก็พอ แต่ยังไม่ต้องรีบส่งมาคืนหรอกนะ เอาไว้วันหนึ่งฉันอาจจะไปรับคืนเอาเอง”

ฉันรู้สึกจริงๆ ว่า เพียงบัวช่างเป็นคนดี และเธอเป็นคนที่ร่ำรวยมากๆ เธอทั้งรวยหนังสือ รวยน้ำใจ ฉันคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่มีเธอโลกของฉันจะเปิดกว้างได้สักเพียงไหน

อย่างไรก็ตาม ในอีกซีกหนึ่งที่เป็นโลกของฉัน ใช่ว่าชีวิตฉันจะสวยงามอย่างวิวทิวทัศน์ที่หมั่นเล่าไปไม่

 

“โอย! กูนี่หนอ กูนี่หนอ!”

ยายร่อยแล่นมาหาพ่อแม่เมื่อตอนมืดค่ำ แม่กำลังจะให้ข้าวหมู ส่วนพ่ออยู่บนเรือน กำลังเขียนเทียนบูชาให้ผู้มาขอไว้

“มีอะไรหรือน้า” แม่หิ้วน้ำคุออกมาจากสวนหลังบ้าน

“อีดาเหย…!” ยายร่อยทำสีหน้าสีตา “กูไปได้ข่าวว่า แท้อ้ายรอยมันไปติกคุกติดคอก!”

ฉันใจหายวาบ เมื่อยินชื่อของญาติผู้พี่ผู้น้อง

“อ้าว!” แม่เบิกตา “ก็ไหนว่ามันไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ”

“ทำเงินทำงานอะไร อก-หนอ-อก!” ยายร่อยทำหน้าเหมือนจะเป็นลมอยู่นั่นแล้ว “มันไปติดคอกอยู่! แต่นี่เขาว่ามันจะได้เวลาออกมาแล้ว”

“ใครบอก”

“หมู่ไอ่น้อยเขา”

ฉันไม่รู้ว่า “ไอ่น้อย” ของยายร่อยคือใคร แต่ฟังอีกสักพักก็จับความได้ว่า

รอยกำลังจะพ้นโทษออกมาแล้ว แต่จะไม่ยอมกลับมา คนส่งข่าวว่า รอยจะขอไปทำงานที่อื่น จะไปทางใต้ ไปเป็นลูกเรือตังเก จะไปอยู่เมืองทะเลสุดขอบฟ้า

คลื่นขาวและระยับของน้ำทะเลปรากฏขึ้นในห้วงคิด ในชีวิตของเรา – ฉันกับอ้ายหมารอย เรายังไม่เคยเห็นทะเล แต่ฉันยังจำได้–เราเคยพูดกันเรื่องนั้น

 

[“กูอยากไปให้พ้นๆ คอยดูนะ กูจะไปจากที่นี่!”

“มึงจะไปไหน” ฉันร้องถาม “มึงเป็นอะไร!”

“กูไม่รู้”

ตอนนั้น รอยกำลังจะเดินผ่านไป ขณะที่ฉันยืนอยู่ใกล้กระถางดอกไม้ของแม่ และกำลังนึกถึง…เรื่องในหนังสือที่ได้อ่าน…หนังสือนั้นพูดถึงทะเล

…ทะเลมีสีฟ้าในเฉดต่างๆ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของลม มีคลื่นแตกฟองขาว มีนก มีเสียงซัดซ่าเวลากระทบโขดหิน…

แล้วฉันก็อดหลงเข้าภวังค์บ้างไม่ได้

“อือ กูก็ยังไม่รู้หรอกจะไปไหน…เดี๋ยวต้องไปเปิดหนังสืออีกที”

รอยหันขวับ และกลับด่าขึ้น

“เอะอะอะไรก็หนังสือ! หนังสือมันบอกได้รึว่ากูควรไปไหน”

“…นกน่าจะชอบมหาสมุทรมากกว่า” …หากฉันก็ยังอยู่ในความคิดของตัวเอง

“เกี่ยวอะไรกับนก” รอยเริ่มมีทีท่าหัวเสีย “อ๋อ ทะเลมีของกินมากงั้นรึ ในน้ำมีปลา บนฟ้ามีนก เข้าใจละ”

ฉันเริ่มรู้ตัวว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่รอยยังไม่สำเหนียกว่าเราพูดกันคนละเรื่องไปแล้ว

“กูว่ายน้ำเป็น กูไปได้ ขอให้ได้ไปเถอะ มึงล่ะ ไปกับกูมั้ย”

ฉันตื่นขึ้นทันทีเพราะประโยคนั้น

“มึงว่าไงนะ”

“ถ้ากูไปทะเล มึงจะไปกับกูหรือเปล่า” รอยเบือนมาจ้องหน้า

“ทำไมกูต้องไปกับมึง”

“เออ มึงว่ายน้ำไม่เป็นนี่ ไม่เป็นไร กูสอนให้ได้”

ฉันมองหน้าเด็กชาย

“กูไม่ชอบลงน้ำ”

ฉันตัดบท เริ่มรู้ว่ามีความผิดพลาดเกิดแล้วจริงๆ

“กูเคยได้ยินว่าคนเขาทำแพต้นกล้วยกัน มึงไม่ต้องลงน้ำก็ได้ เวลากูออกไปหาปูหาปลามึงก็อยู่บ้านนึ่งข้าวตักน้ำ ซักผ้าซักครัว”

“กูไม่ไปกับมึง”

“ถ้ามึงทำตัวดีๆ กูจะยิงนกตกปลาให้กินจนอิ่ม แต่ถ้านิสัยไม่ดีกูจะฟาดเข้าให้”

“เอ๊ะ!”

ฉันผุดลุกขึ้น

“กูบอกว่าไม่ไปกับมึง” ฉันตะโกนกรอกหู “มึงจะไปไหนก็ไปเอง”

“ก็มึงบอกให้ไปทะเล!” รอยลุกขึ้นตะโกนบ้าง “มึงไม่ชอบทะเลแล้วพูดมาทำไม!!”]

ฉันกับรอยยืนจ้องหน้ากัน

ใช่ – เราสองคนยืนจ้องหน้ากัน – ครั้งที่เท่าไหร่ ที่เรามักยืนหันหน้าหากัน จ้องลึกในดวงตาอีกฝ่าย

ตั้งแต่เรายังเป็นเด็กหญิง เด็กชาย จนกระทั่งในคืนที่แสงจันทร์ทารุณจนเยียบเย็นเช่นนั้น

คืนที่ฉันเห็นรอยคู้เข่าอยู่บนพื้นปูนซีเมนต์…ท่ามรอยเลือดที่สาดกระเซ็นในม่านตา

 

[ก่อนหน้านั้น…

“อีพี่”

“อะไร?”

“มึงเป็นอะไรกับมัน?”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง”

“มึงทำหยั่งนั้นได้ยังไง!”

หมารอยพรวดเข้ามาข้างหน้า มือแข็งบีบหมับที่สองไหล่ของฉัน

“ทำไม กูทำอะไร?”

“มึงจะเอาปู๊เมียเป็นผัวรึ!”

“แล้วทำไม? มึงจะยุ่งอะไรกับกู!”

“อีพี่” รอยครางเสียงต่ำในลำคอ ก่อนออกคำสั่ง

“เดี๋ยว”

“มึงจะทำอะไร”

“รอย” ใจฉันหายวาบ

“ดีที่มึงยังไม่ผิดผี…แต่มึงไม่ควรทำอย่างนี้ อีพี่”

และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก จนฉันต้องพุ่งตัวตามไป แต่ก็ไม่ทัน

“รอย! เปิดประตู!”

ฉันพยายามทุบประตูให้ดังที่สุด…แต่สิ่งเดียวที่ตอบรับฉัน คือเสียงพวกนั้น

“อ้าย…มึง!”

“มึงเก่งนักเหรอ!…เก่งนักเหรอ!”

เสียงเนื้อกระทบเนื้อ ยินเสียงหวีดร้องตะโกนออกมา ทว่าเสียงของรอยยังดังกว่าเสียงใดๆ

“อยากลองดีกับกูนักใช่มั้ย! อีปู๊!”

รอยลงมือเอากับพี่ฝน อีกคนที่ดีต่อฉัน

“รอย! มึงเปิดประตูเดี๋ยวนี้!!”

มีอีกกี่ครั้งที่ฉันหวีดเสียงออกมา จนกว่า…จนกว่าจะมีคนเข้ามาแทรก…]

 

ยังจำได้อยู่เลยว่า ครั้งนั้น ทำให้ฉันระลึกถึงบทกวีที่เคยเขียน…

[ฉันจะเขียนจดหมายถึงใครดีนะ

ในวันที่ท้องฟ้าแห้งผากจนไม่รู้จะมองดูอะไร

ก้อนเมฆที่เปื่อยไหล

ฉันไม่รู้คืน ไม่รู้เวลา

วันนี้วันอะไรกัน

วันอาทิตย์

วันจันทร์

วันอะไรกันแน่ ที่ฉันมองเห็นแต่สายเลือดในดวงตา

สาบกลิ่นคลุ้งคาว ราวจะบอกกับทุกสิ่งว่า

ความเจ็บปวดของฉัน

มันแค่ของธรรมดา…]

“มันว่าจะไปอยู่ทะเล ไปเป็นตังเกตังโกอะไรกูก็ไม่รู้!”

เสียงของยายร่อยแทรกขึ้นมา และพาฉันกลับออกมาจากห้วงความคิดเก่าๆ ซึ่ง…สีฟ้าน้ำทะเลกลับกระฉอกมืดคล้ำดำลึก…ลึกนัก

 

“กูละจะเสี้ยงอกเสี้ยงใจ๋ เลยตั้งใจจะมาขอให้หมู่มึงช่วย” เสียงของยายร่อยดังชัดเจนขึ้นอีก

“ให้ช่วยยังไงล่ะน้า”

“ไอ่น้อยมันว่า จะให้อ้ายรอยไปไหนไม่ได้ ถ้ามันยังไม่ตายให้กลับมาอยู่กับกูนี่!”

“น้าอยากให้มันมารึ” เสียงแม่ถาม

“เออ! อยากไม่อยากมันก็ต้องกลับมา ใจคอจะให้กูอยู่ดูแลอีปิมคนเดียวได้ยังไง ให้มันมารับจ้างเอาสตางค์แถวนี้ กูเองจะได้ฝากผีฝากไข้กับมันบ้าง!…แต่ไอ่น้อยว่า ถ้าจะยั้งเอาไว้ ต้องให้สตางค์มันก่อน”

“…ยังไงน้า”

“กูเลยบากหน้าจะมาขอยืมสตางค์ก่อนนี่แล” เสียงยายร่อยชัดถ้อยชัดคำ

“อีพี่มันทำงานได้เงินหลายอยู่ กูรู้ มันเก็บไว้ทุกเดือน กูขอ…เทอะ” ยายร่อยยกมือขึ้นพนมเหนือหัว “ขอหมู่มึงช่วยเหลือคนเฒ่าสักครั้ง กูมาหวังพึ่งใบบุญมึง…อีพี่…”

นัยน์ตาที่เกลื่อนด้วยเมฆฝ้าเหลียวมาหาฉัน

“มึงคงมีสตางค์หลายพัน แต่กูขอ…ขอน้ำใจจากมึงสักครั้ง เอามาให้กูก่อนสักแปดร้อยเท่านั้น! ถ้ามึงไม่ช่วยกูไม่ช่วยมัน ก็ไม่มีใครจะช่วยกูได้อีกแล้ว!”