ทราย เจริญปุระ : “ชิ้นส่วน” การ “จดจำ”

ความทรงจำส่วนตัวที่ถูกแยกชิ้นส่วนไปครอบครองของแต่ละคน

ชิ้นส่วนที่มีเหตุการณ์สำคัญที่ทั้งถูกละเลย และถูกทำให้ลืมเลือนบางประการเป็นทั้งฉากหลังและเครื่องฉุดลากชีวิตไปตามเรื่องราว

ผู้คนต่างหลงทะนงตนว่าเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง

แต่เปล่าเลย เราถูกผลักและถูกดึง เราก้าวหน้าและท้อถอยไปทุกจุดตัดและทางแยกของชีวิตที่ต้องเลือก เหตุผลของคนหนึ่งไม่อาจทำให้ทุกคนเข้าใจได้

มันหนักแน่นน่าเชื่อถือเฉพาะในการตัดสินใจของตัวเราเอง

และเมื่อเนิ่นนานผ่านไป เราก็ลืมเสียแล้วว่าอะไรทำให้เราตัดสินใจเช่นนี้

ความสงบสุขของคนหนึ่งคือความทุกข์ร้อนของอีกคน

ความรักแผดเผาร้อนรุ่มในใจมีแต่ผลักไสเราออกห่าง

ทิ้งความมืดดำสับสนไว้กับคนเบื้องหลัง

 

เราใช้อะไรเป็นจุดช่วยในการจดจำ

คนมักค่อนขอดว่าผู้หญิงก็ดีแต่จำอะไรเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนไม่เป็นเรื่องราว

-อ้าว เธออยู่ตรงนี้เองเหรอ ใกล้จัง ทำไมเราไม่เคยสังเกตเลย-

ทั้งที่ผ่านตรงนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง

เราทั้งโคจรร่วมและร้างกันไปในโลกที่ซ้อนทับกัน

เป็นเหมือนการเต้นรำของเส้นชีวิตบนฝ่ามือ

 

ผู้หญิงอาจเฝ้าจดจำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เพื่อใช้มันปะติดปะต่อสู่ภาพที่ใหญ่กว่า ถ้าห้องอยู่ทางซ้ายมือจะร้อนกว่านี้ไหม ทำไมคนเราต้องใช้กระเบื้องสีเขียวปูพื้น แล้วทำไมไฟกะพริบติดๆ ดับๆ นั่นถึงไม่มีใครซ่อม

เราจดจำชิ้นส่วนของเรื่องราวยามค่ำคืนแบบนี้ แทนที่จะจำชื่อสถานที่หรือชื่อคน

ที่นั่นไง ที่ชามถูกใช้แทนที่เขี่ยบุหรี่ หนังอะไรนะที่ดูด้วยกัน สัมผัสเสียดสีของพรมที่เข่าฉันตอนเราจูบกันครั้งแรก ในแสงวิบวับพร่ามัวของภาพบนจอ

ไม่สำคัญเลยว่าฉากหลังจะคืออะไร

เรื่องของเราขยายตัวใหญ่คับจักรวาล

หนังสือทำให้ฉันนึกถึงหนังนรกตะรุเตาที่พ่อทำ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าทำไมพ่อถึงทำเรื่องนี้ และเพิ่งมารู้หลังจากนั้นแสนนานว่านักโทษแห่งตะรุเตาคือนักโทษการเมือง

ท่ามกลางความทรงจำแหว่งวิ่น ฉากที่ฉันจำได้คือชายคนหนึ่งในกลุ่มนักโทษ เดินไปตรงชายหาด กรีดร้อง ก่อนเอามีดจ้วงแทงท้องตัวเองซ้ำๆ

ฉันไม่รู้ว่าตัวละครนั้นคือใคร พ่อใช้เขาเป็นตัวแทนคนที่มีอยู่จริงหรือเปล่า

ฉันไม่แน่ใจกระทั่งว่าภาพที่จำได้นั้นปรากฏขึ้นจริงในภาพยนตร์

หรือเป็นเพียงสิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้นเองในสมอง เมื่อได้รู้เรื่องราวของเกาะไกลสุดกู่ กับผู้คนที่ถูกส่งไปทิ้งที่นั่น

 

ทิศทางที่โลกหมุนมุ่งไปหรือทิ้งรอยผ่านมาไม่มีความหมายเท่าชั่วขณะที่กำลังเกิดขึ้น

สงครามหรือ

การเลือกตั้งหรือ

ภัยธรรมชาติหรือ

เหล่านั้นล้วนห่างไกล ส่งเพียงแรงกระเพื่อมอ่อนจางจากฟากฟ้าลิบๆ ที่ไม่สะเทือนมาแตะต้องเงาของเรา

คืนวันล้วนไร้ความหมาย

มีเพียงเนื้อตัวอุ่นอ้าวของเธอที่โถมทับแทรกผ่านร่างฉันเท่านั้นที่ฉันนับเป็นเรื่องจริง

หรือเป็นความฝัน

เรากอดก่ายกันคร่ำครวญกระซิบกระซาบชื่อเรียกเหมือนจะหลุดหาย หัวเราะคิกคักก่อนงัวเงียลุกขึ้นมาร่วมรักกันซ้ำๆ ซ้อนๆ วกวนจนไม่แน่ใจว่าอะไรคือเรา ควานหามือเธอ แนบหน้าลงชิดอก

เธอมีอยู่จริงเพียงนาทีนี้

เท่านั้นก็เพียงพอ

 

เราล้วนเป็นบุคคลไม่สำคัญของโลก หากเทหวัตถุจากฟากฟ้าหล่นลงมาตอนนี้ และเราขาดใจไปในชั่วขณะนั้น อีกกี่ร้อยพันปีคนถึงจะพบเจอร่องรอยของเราอีกครั้ง

ไม่มีถนนของเรา

ไม่มีเรื่องราวลงบทบันทึก

ความสัมพันธ์ของเราหากจะเกิดขึ้นจริงก็ถูกถมทับด้วยซากฝุ่นหนาเป็นชั้นชั้น มือที่กุมกันก่อนหยุดลมหายใจจะมีความหมายกับใครบ้าง

เราจะถูกแปลความหมายไปว่าอย่างไรในอีกร้อยปีข้างหน้าหากมีคนขุดค้นเจอ

หากแสงแห่งศตวรรษต่อไปจะปรากฏ

สร้อยทองวิบวับที่คอของเธอจะยังคงส่องประกาย

ในขณะที่ฉันหายสาบสูญไปตลอดกาล

เหมือนไม่เคยมีอยู่จริง

 

“พุทธศักราชอัสดง กับทรงจำของทรงจำ ของแมวกุหลาบดำ” เขียนโดย วีรพร นิติประภา ฉบับพิมพ์ครั้งแรก สำนักพิมพ์มติชน ตุลาคม, 2559