ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ปริศนาการหายไปของเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน เอ็มเอช370 ที่หายไประหว่างการบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ดูเหมือนจะมีผลการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการพบชิ้นส่วนที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นของเอ็มเอช370
อย่างเช่น ผลการวิเคราะห์ของสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งของออสเตรเลีย (เอทีเอสบี) ที่มีการเปิดเผยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า ในช่วงเวลาสุดท้ายที่เอ็มเอช370 ติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียม เอ็มเอช370 ได้ดิ่งลงทะเลอย่างรวดเร็วโดยไม่มีคนควบคุมเครื่องบินอยู่
พร้อมระบุด้วยว่า การวิเคราะห์ซากของปีกของเครื่องบินที่พบ ช่วยตัดประเด็นเรื่องปัญหาของแฟลปเครื่องบินที่คาดกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกออกไปได้
โดยเอทีเอสบีได้จำลองการบินในช่วงเวลาสุดท้ายของเอ็มเอช370 พบว่า เครื่องบินได้หมุนควงก่อนที่จะตกลงสู่พื้นมหาสมุทรด้วยความเร็ว 457 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เจฟเฟรย์ โธมัส ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินจากเว็บไซต์แอร์ไลน์เรตติ้งดอตคอม เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า รายงานชิ้นนี้เป็นการลบล้างทฤษฎีที่ว่า นักบินยังคงขับเครื่องบินขณะที่เครื่องบินลงสู่ทะเล และรายงานที่ว่า แฟลปของปีกเครื่องบินที่ถูกพบที่แทนซาเนีย ที่พบว่าไม่มีการกางออกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลงจอด ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
เพราะถ้ามีนักบินขับอยู่ ก็จะต้องมีการเตรียมเครื่องบินเพื่อลงจอด และแฟลปของปีกเครื่องบินก็จะต้องถูกกางออก
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เครื่องบินจะมีใครขับอยู่ เพราะมันไม่ได้ถูกควบคุม เชื้อเพลิงหมด และหมุนควงสว่านตกสู่พื้นผิวทะเลด้วยความเร็วสูง
พบชิ้นส่วนประทับตราสัญลักษณ์ของโรลส์รอยซ์ บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน ซึ่งอาจเป็นของเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์เที่ยวบิน MH370
แมรี เชียโว นักวิเคราะห์ด้านการบินของซีเอ็นเอ็น อดีตเจ้าหน้าที่สอบสวนกระทรวงคมนาคมสหรัฐ ก็เห็นเช่นกันว่า ผลการวิเคราะห์ชิ้นใหม่นี้สนับสนุนบทสรุปดังกล่าว โดยเชียโวได้ตั้งสมมติฐานไว้ 2 ข้อ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเอ็มเอช370
อย่างแรกคือ เกิดไฟไหม้ขึ้นบนเครื่องบินทำให้เกิดควันปกคลุมไปทั่วภายในเครื่องบิน หรือความกดอากาศลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดรอยรั่วขึ้นที่หน้าต่าง ทำให้ผู้คนบนเครื่องบินเสียชีวิตก่อนที่เชื้อเพลิงของเครื่องบินจะหมดลง และเครื่องดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับตัวของกัปตันของเอ็มเอช370 ผู้มีนามว่า “ซาฮารี อาหมัด ชาห์” ที่ทำหน้าที่ดูแลเครื่องบินในขณะที่เครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นิตยสารนิวยอร์ก รายงานโดยอ้างหลักฐานใหม่ที่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่า “นักบินฆ่าตัวตาย” เป็นเหตุที่ทำให้เครื่องบินเอ็มเอช370 สูญหายไป โดยได้อ้างข้อมูลที่รั่วไหลออกมาจากเอกสารที่ได้จากการสอบสวนของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ของสหรัฐ ที่แสดงให้เห็นข้อมูลที่กู้มาจากเครื่องจำลองการบินที่บ้านของซาฮารี ที่ถูกลบไปแล้ว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ซาฮารี ได้วางแผนที่จะขับเครื่องบินไปยังบริเวณตอนใต้อันห่างไกลออกไปของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีความใกล้เคียงกับการคาดการณ์เกี่ยวกับเส้นทางบินสุดท้ายของเอ็มเอช370
โดยเจ้าหน้าที่สอบสวนเปิดเผยว่า เส้นทางจำลองการบินของซาฮารีนั้น มีขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเอ็มเอช370 หายไป
และในเดือนกรกฎาคมเช่นกัน มีอี-เมลที่ส่งถึงซีเอ็นเอ็น มาจาก “สก็อต แมชฟอร์ด” โฆษกของศูนย์ประสานงานสำนักงานร่วม ที่เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเครื่องจำลองการบินของกัปตันบนเครื่องบินเอ็มเอช370 แสดงให้เห็นว่า มีใครบางคนวางแผนที่จะนำเครื่องบินไปยังตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
แต่แมชฟอร์ดไม่ได้บอกว่า “ใคร” เป็นคนวางแผนเส้นทางบินดังกล่าว
และในเดือนสิงหาคม สำนักข่าวเบอร์นาคม ของมาเลเซีย รายงานว่า ดาตุก เสรี เลียว เทียง รัฐมนตรีคมนาคมมาเลเซีย บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เครื่องจำลองการบินส่วนตัวของซาฮารี แสดงให้เห็นว่า ซาฮารีได้ฝึกเส้นทางเพื่อบินไปยังมหาสมุทรอินเดีย แต่ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าซาฮารีได้นำเครื่องบินไปยังตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดียจริง
พร้อมระบุว่า นักบินจะใช้เครื่องจำลองการบินเพื่อการฝึกบินและมีเป้าหมายในการบินอยู่ในเครื่องจำลองการบินหลายพันเป้าหมายด้วยกัน
ด้านน้องสาวของซาฮารี บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า พี่ชายของเธอเป็นเพียงแพะรับบาปในเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องที่มีการอ้างกันขึ้นมานั้น เป็นการกุเรื่องขึ้นเองทั้งสิ้น
ผ่านไปแล้วกว่า 2 ปี ตอนนี้ ปฏิบัติการค้นหาเอ็มเอช370 กินพื้นที่ทั้งหมด 110,000 ตารางกิโลเมตร และคาดว่าจะยุติการค้นหาเมื่อครอบคลุมพื้นที่ 120,000 ตารางกิโลเมตร
ขณะที่มีการพบซากชิ้นส่วนกว่า 20 ชิ้นที่คาดว่าจะเป็นของเอ็มเอช370
แต่มีเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของเอ็มเอช370 และเป็นที่มาของการนำชิ้นส่วนไปวิเคราะห์
เพื่อคลี่คลายปริศนาเอ็มเอช370 ทีละเปลาะ ทีละเปลาะ