บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ผลงาน ‘ทรัมป์’ ล้วนๆ การเมืองแตกแยกถึงขั้นใช้ระเบิด

นงนุช สิงหเดชะ

 

ผลงาน ‘ทรัมป์’ ล้วนๆ

การเมืองแตกแยกถึงขั้นใช้ระเบิด

 

ข่าวใหญ่มากข่าวหนึ่งของการเมืองสหรัฐ เมื่อสัปดาห์ก่อนก็คือการตรวจพบพัสดุที่เป็นระเบิดไปป์บอมบ์ทำเองหลายชิ้นถูกส่งไปยังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนักการเมืองพรรคเดโมแครต ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต เจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานกับเดโมแครต ตลอดจนสื่อและผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์

รวมแล้วเท่าที่ค้นพบประมาณ 14 ลูก

คนในซีกเดโมแครตที่เป็นเป้าหมายของพัสดุระเบิด มีทั้งบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ นางฮิลลารี่ คลินตัน ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด และ ส.ส.พรรคเดโมแครตอีก 2 คน

นอกจากนี้ก็มีจอห์น เบรนแนน อดีตผู้อำนวยการซีไอเอยุคโอบามา นายเอริก โฮลเดอร์ อดีต รมว.ยุติธรรมยุคโอบามา จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีเชื้อสายฮังการี ซึ่งให้เงินทุนสนับสนุนเดโมแครต โรเบิร์ต เดอนีโร ดาราฮอลลีวู้ด และซีเอ็นเอ็น เคเบิลทีวีระดับโลก

ในรายของโอบามาและฮิลลารี่นั้น พัสดุยังไม่ถูกส่งไปถึงบ้านเพราะถูกตรวจพบและสกัดได้ที่ศูนย์คัดพัสดุก่อน แต่ในรายของโรเบิร์ต เดอนีโรและซีเอ็นเอ็น พัสดุถูกส่งไปถึงที่หมายแล้ว

ทั้งหมดที่ได้รับระเบิด ล้วนได้ชื่อว่าเป็นขาประจำในการวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์

 

ฮิลลารี่นั้นเคยถูกทรัมป์ใช้วาจารุนแรงด้วยตั้งแต่ช่วงหาเสียง เช่น ครั้งหนึ่งบอกว่า ถ้าได้เป็นประธานาธิบดีจะให้คนมาจับฮิลลารี่เข้าคุก

ล่าสุดก่อนได้รับระเบิดไม่กี่วัน ฮิลลารีตำหนิทรัมป์เรื่องการปลุกปั่น หว่านเมล็ดพันธุ์ความรุนแรงในสังคม สร้างความแตกแยก

รายของโรเบิร์ต เดอนีโรนั้น เคยวิจารณ์ทรัมป์ออกสาธารณะอยู่หลายครั้งเช่นกัน ล่าสุดเขาพูดว่า ถ้าทรัมป์เข้าไปกินอาหารในร้านของเขา (ในนิวยอร์ก) เขาจะเดินออกจากร้านทันที

ส่วนซีเอ็นเอ็นนั้นเป็นเป้าความเกลียดชังของทรัมป์มาโดยตลอด และเป็นสื่อทีวีที่ถูกทรัมป์กล่าวหาว่าเสนอข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์บ่อยครั้งเมื่อเสนอข่าวที่ทรัมป์ไม่ชอบใจ และที่อื้อฉาวก็คือการที่ทรัมป์เคยโพสต์วิดีโอล้อเลียนซีเอ็นเอ็น โดยเป็นภาพที่เขากำลังทุ่มชายคนหนึ่งที่ใบหน้าถูกปิดด้วยโลโก้ซีเอ็นเอ็นอยู่ข้างเวทีมวยปล้ำ

ความหมายก็คือ ทรัมป์ใช้กำลังจัดการซีเอ็นเอ็นที่เขาไม่ชอบหน้า ในทำนองว่าในโลกความเป็นจริงเล่นงานซีเอ็นเอ็นไม่ได้ ก็ต้องปลดปล่อยด้วยวิธีนี้

ในครั้งนั้นทรัมป์ถูกตำหนิอย่างมากว่ายั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรงกับสื่อ

 

นับตั้งแต่รับตำแหน่ง ทรัมป์ไม่เคยลดละพฤติกรรมที่ทำให้คนอเมริกันแตกแยกเกลียดชัง แม้ใครจะตำหนิท้วงติงเพียงใดก็ตาม

คนเป็นผู้นำประเทศ ในอีกฐานะหนึ่งถูกคาดหวังให้เป็นตัวอย่างที่ดี แต่ในเมื่อทรัมป์แสดงออกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ การใช้วาจายั่วยุ ก้าวร้าว การใช้วาจาสร้างความเกลียดชังเป็นเรื่องปกติ ก็ย่อมทำให้ฐานเสียงหรือผู้นิยมในตัวเขาเชื่อในแบบเดียวกัน

ผลก็คือ ทำให้เกิดเหตุการณ์ส่งระเบิดไปให้คนที่อยู่ตรงข้ามทรัมป์ดังกล่าว เพราะฝ่ายสนับสนุนทรัมป์คงเชื่อว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้ทรัมป์สะใจได้ทางอ้อมโดยไม่ต้องลงมือเอง เรียกได้ว่าเป็นการทำเพื่อให้คนที่ตัวเองรักและบูชาบรรลุเป้าหมาย

ทรัมป์นั้นเป็นที่นิยมของฝ่ายขวาในอเมริกา ยุคทรัมป์เป็นยุคที่พวกเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งคือกลุ่ม White supremacy งอกงาม ฟื้นชีพกลับมา

ทรัมป์รู้ว่าฐานเสียงของเขาเป็นพวกคนขาวฮาร์ดคอร์ ดังนั้น นโยบายประเภทเนรเทศผู้อพยพ ห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ การปฏิบัติต่อเด็กที่เป็นลูกอพยพอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ หรือการด่าสื่อว่าเป็นพวกเสนอข่าวปลอม ทะเลาะกับสื่อ จึงถูกอกถูกใจคนเหล่านี้

รวมทั้งคำพูดประเภทเอามัน สะใจ ยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงก็เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ฐานเสียงเช่นกัน

 

ฟิลิปป์ เรนส์ ผู้ช่วยของฮิลลารี่ คลินตัน ระบุว่าทรัมป์ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ในฐานะผู้นำประเทศและในฐานะหัวหน้าใหญ่ของนักยั่วยุ (Inciter-in-Chief) เรากำลังอาศัยอยู่ในบรรยากาศที่ความเกลียดชังและความรุนแรงถูกกระตุ้นและได้รับการยอมรับจากโดนัลด์ ทรัมป์

“วันนี้ทรัมป์อยู่ในตำแหน่งครบ 643 วัน ซึ่งตลอดมาผมไม่เห็นจะมีสักครั้งที่เขาประณามความรุนแรงหรือบอกให้ประชาชนเพลาๆ ลงหน่อย เขามีแต่ส่งเสริมมัน ต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ”

ส่วนทรัมป์ก็ออกมาพูดพอเป็นพิธีว่า พวกเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน การข่มขู่คุกคามและใช้ความรุนแรงทางการเมืองเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

แต่ในความเห็นของเจฟฟ์ ซัคเคอร์ ประธานซีเอ็นเอ็น เห็นว่าการพูดแค่นี้ยังไม่เพียงพอ แต่ควรทำความเข้าใจด้วยว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร

ประธานซีเอ็นเอ็นออกแถลงการณ์ว่า

“ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และโฆษกทำเนียบขาว (ซาราห์ แซนเดอร์ส) ขาดความเข้าใจอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับความร้ายแรงที่เกิดจากการโจมตีสื่ออย่างต่อเนื่องของพวกเขา ทั้งประธานาธิบดีและโฆษกทำเนียบขาวควรเข้าใจเสียด้วยว่าคำพูดนั้นสำคัญ แต่จนถึงบัดนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังไม่เข้าใจเลย”

 

ขณะที่มาร์ก แม็กคินนอน อดีตที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัน ออกโรงสวนหมัดทรัมป์ว่า การที่ทรัมป์ออกมาเรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียวในตอนนี้แทบไม่มีความหมาย เพราะปัญหาคือตัวประธานาธิบดีเอง และทีมรณรงค์ของทรัมป์ส่งสารในทางตรงข้าม ดังนั้น จึงไม่มีความน่าเชื่อถือเมื่อเรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียว

“ประธานาธิบดีบุชบริหารประเทศในฐานะผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ เช่นเดียวกับบารัค โอบามา และบิล คลินตัน ดังนั้น เมื่อคนเหล่านี้จำเป็นต้องเรียกร้องให้ประเทศชาติเป็นหนึ่งเดียว พวกเขาจึงมีความน่าเชื่อถือ”

เรียกได้ว่าเป็นการสอนสั่งอย่างเจ็บแสบทีเดียว

กระนั้นก็ตาม ยังไม่มีใครรับประกันว่า เมื่อความรุนแรงดำเนินมาถึงขั้นนี้ ทั้งทรัมป์และพวกมือขวาที่ล้วนแต่เป็นพวกกระหายความรุนแรงจะสำนึกและเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่

แต่ดูท่าทีแล้วคงยาก เรียกได้ว่าแม้จะเห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา เพราะพวกไร้ศีลมาอยู่ด้วยกัน ก็ต้องพากันเข้ารกเข้าพงไปจนกว่าจะหายนะ

 

ล่าสุดเจ้าหน้าที่เอฟบีไอออกมายืนยันว่าทั้งหมดเป็นระเบิดจริง ไม่ใช่ของปลอม

และสามารถจับกุมชายต้องสงสัยได้แล้ว พบว่าเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันและคลั่งไคล้ทรัมป์แบบสุดโต่ง เลือกข้างทางการเมืองอย่างรุนแรง

โดยเขามักจะตอบโต้ใครก็ตามที่วิจารณ์ทรัมป์ว่า “อย่าพูดอะไรที่ต่อต้านท่านประธานาธิบดี”

ในเมื่อเป็นระเบิดจริง ทรัมป์จึงไม่ออกมาทวีตกล่าวหาสื่อว่าเสนอข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์เรื่องระเบิดเหมือนที่เคยทำอีก

เหตุการณ์ที่อเมริกา นึกไปก็คล้ายกับที่เคยเกิดในเมืองไทย ที่ฝ่ายหนึ่งมักแจกระเบิดเอ็ม 79 และความรุนแรงสารพัดให้กับฝ่ายตรงข้ามชนิดรายวัน

ซึ่งก็เป็นผลจากอดีตผู้นำบางคน และแกนนำยั่วยุปลุกปั่นอย่างต่อเนื่อง

และไม่เคยห้ามปรามสาวกของตนเรื่องการใช้ความรุนแรง