พลิกโฉม สตม.ยุค “บิ๊กโจ๊ก” ยกเครื่องใหม่! ดันไอที

ปรับโฉม สตม.ยุค “บิ๊กโจ๊ก” เปิดยุทธศาสตร์ “ไอที” สู่ 4.0 ฐานข้อมูลออนไลน์ทั่วไทย

สํานักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นหนึ่งหน่วยงานที่กำลังปรับตัวและพัฒนาองค์กรเพื่อก้าวเข้าสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จัดเป็นกองบัญชาการด่านแรกที่ต้องเร่งปรับโฉมให้ทันโลก

“พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล” หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (รอง ผบช.ทท. รรท.ผบช.สตม.) ผู้นำ สตม.ยุคตั้งเป้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 เปิดเผยว่า นับจากนี้โฟกัสการพัฒนา เตรียมความพร้อมรองรับยุทธศาสตร์ชาติ

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์เกริ่นถึงนโยบายและวิสัยทัศน์การนำ สตม.ในยุคนี้ว่าจะทำงานเชิงรุกปลุกความโปร่งใส มุ่งมั่น จริงใจ แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

โดยพร้อมนำพา สตม.ทำงานแบบโลกไร้พรมแดน ต้องเชื่อมต่อประชาชาติภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งความมั่นคงและมุ่งสู่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการตรวจสอบคัดกรองเพื่อให้การบริการที่ทันสมัย

รองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี

“ด้านความมั่นคง ด้านการบริหารกิจการชายแดน ความมั่นคง และการปราบปรามอาชญากรรม ภาระหน้าที่ สตม. ลำดับแรกคือการคัดกรองนักท่องเที่ยวเพื่อแยกให้ได้ระหว่างคนดีและคนไม่ดี ที่แยกให้ได้ระหว่างคนร้ายเข้ามาก่ออาชญากรรมหรือเข้ามาอาศัยไทยเป็นแหล่งพักพิง หรือเป็นฐานในการเดินทางข้ามต่อไปยังประเทศที่ 3 สำหรับประเทศไทยต้องยอมรับว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นอันดับ 3 ของโลก มากสุดคือคนจีน แต่รวมแล้วมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 32 ล้านคน” บิ๊กโจ๊กอธิบาย

รรท.ผบช.สตม.พูดถึงด้านความมั่นคงว่ามีมาตรการตรวจเข้มยึดถือระเบียบเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวีไอพีหรือไม่ แล้วแต่ในการที่จะขออำนวยความสะดวกในเรื่องของการผ่านแดนต่างๆ ได้สั่งการกำชับให้หัวหน้าด่านทุกด่าน หัวหน้าสถานีทุกสถานี ยึดถือระเบียบเป็นหลัก

ฉะนั้น หน้าที่ของ สตม.ต้องทำ 2 ส่วนคู่ขนานกันคือ อำนวยการบริการความสะดวกและเรื่องความมั่นคงปลอดภัย การบริการ การอำนวยความสะดวกของเรื่องวีไอพี สตม.จะต้องตรวจด้วยความเข้มงวด

จะต้องให้ลงจากรถให้หมด เพื่อตรวจให้ได้ว่ามีคนร้ายหรือบุคคลตามหมายจับ สิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ซุกซ่อนอยู่ในรถหรือไม่ จะไม่ให้มีอีกแล้วแค่โชว์บัตรแล้วผ่านแดนออกไปเลย โดยที่ไม่ต้องลงจากรถ

กรณีเป็นผู้ใหญ่รวมถึงวีไอพี ถ้าไม่สะดวกที่จะลงจากรถ เจ้าหน้าที่ด่าน สตม.จะต้องลงไปเปิดรถตรวจสอบดูว่ามีคนร้ายซุกซ่อนอยู่หรือไม่ หรือมีบุคคลตามหมายจับซุกซ่อนอยู่หรือไม่

“ผมไม่ได้ลงทุนมาเป็น ผบช.สตม. ผู้บังคับบัญชาเห็นผลงานที่ทำมา จึงไม่มีอะไรทั้งสิ้น การมีคำสั่งย้ายตำรวจ ตม.ที่ผ่านมาที่มา รรท.ผบช.สตม. ไม่ได้เพื่อต้องการเปิดตำแหน่งให้ใครเป็นพิเศษ เพราะไม่ทำตามนโยบายที่มอบกำชับลงไป การซื้อขายตำแหน่งเป็นสิ่งชั่วร้ายในวงการตำรวจ การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายจะดูเรื่องงานเป็นหลัก ยืนยันว่าทำงานดี มีผลงาน ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องกลัวถูกกลั่นแกล้งหรือกลัวถูกย้ายออกนอกหน่วย นอกจากนี้จะพัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้”

รรท.ผบช.สตม.เผย

สําหรับกระแสข่าวว่าจีนชูธงเหลืองเตือนเที่ยวไทยเนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนถูกทำร้าย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ยืนยันว่ากระแสชูธงเหลืองไม่มี มีแต่เพียงคำพูดมา

ส่วนที่มีนักท่องเที่ยวคนจีนลด ยอมรับว่ากังวลแต่ต้องแก้ทุกส่วน อย่าไปตระหนก ยอมรับว่าปัญหาหลายๆ ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวจีนเป็นเรื่องของจิตใจไปแล้ว สิ่งที่แก้ไขร่วมกันคือต้องเดินหน้า สร้างมาตรฐานความปลอดภัยทางเรือ ทางรถ และทางถนน ต้องไม่มีแล้วคำว่าสุสานรถบัสในภูเก็ต เรือล่มในภูเก็ต

ในสิ่งต่างๆ ต้องสร้างความแข็งแรง นักท่องเที่ยวจีนเป็นคนมีเงิน ไม่แคร์เรื่องเสียค่าวีซ่า 1,000-2,000 บาท แต่ต้องการความมั่นใจว่ามาไทยแล้วจะต้องไม่มีเหตุการณ์เหมือนที่ผ่านมาอีก มาแล้วต้องไม่มี ตม.รับเงิน นักท่องเที่ยวจีนต้องการการแสดงออกว่าคนไทยรักคนจีนจริงๆ

เศรษฐกิจจีนปัจจุบันอาจจะเติบโตเท่าที่ไม่ควรจะเป็น ยอมรับว่าปัญหาหลายๆ อย่างรุมเร้า หน้าที่ของแต่ละส่วนจะต้องไปทำหน้าที่ให้ดี เช่น เรือที่จมอยู่ภูเก็ตต้องนำขึ้นมาให้ได้ และต้องจัดระเบียบเรือ รถต่างๆ

“อยากให้ สตม.เดินหน้าอย่างไร เป็นการเชื่อมโยงกระแสคน การเชื่อมโยงผ่านแดน การพัฒนา สตม.จะต้องพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี ต้องบูรณาการร่วมกันทั้งหมด จะไม่ใช่ต่างคนต่างทำ จะต้องนำเรื่องไบโอเมทริกซ์ หรือวิธีการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะทางกายภาพหรือพฤติกรรมมาใช้ในการตรวจสิทธิหรือแสดงตน เช่น ลายนิ้วมือ หรืออะไรต่างๆ จะถูกนำไปเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำจะใช้เข้าประเทศด้วยไบโอเมทริกซ์ ออกประเทศด้วยระบบออโตชาแนล หรือช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ เพื่อให้มีเครื่องใช้และอาวุธมาช่วยการทำงานมากขึ้น”

“ในส่วนกำลังพลยอมรับว่าขาดแคลน กำลังเปิดรับชั้นประทวน-รอง สว.ที่เป็นผู้ปฏิบัติเข้าบรรจุกว่า 1,000 คน ทั้งหมดจะเห็นเป็นรูปธรรมในกลางปีหน้า”

นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ยังมีเป้าหมายนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้และบูรณาการเชื่อมโยงเทคโนโลยีทั้งหมดเพื่อจะก้าวล้ำควบคู่ไปกับไทยแลนด์ 4.0 รวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพคนสำคัญ โดยหัวหน้าด่าน หัวหน้าสถานีจะต้องอยู่ในห้วงวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา การบริการประชาชนต้องไม่มีคำว่าท้ายแถวยาวอีกต่อไป

ส่วนเรื่องปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า รัฐบาลไทยประกาศชัดเจนแล้วว่า ในประเทศจากการที่ผ่อนผันให้มาขึ้นทะเบียนแล้ว หลังจากการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวต้องเป็นศูนย์ ในการเอ็กซเรย์มอบให้ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สตม. และ ผบก.ตม.1-6 เข้าปิดล้อมตรวจค้นโกดัง โรงงาน ว่าเข้าเมืองและอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมายหรือไม่ จะใช้เวลาจากนี้ไปไม่เกิน 1 เดือน การอยู่ในราชอาณาจักรเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือโอเวอร์สเตย์ ในแผ่นดินไทยต้องเป็นศูนย์

ด้านภาพลักษณ์ตำรวจ สตม.ที่เคยมีข่าวเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ยืนยันว่าการทำหน้าที่ต้องยึดหลักคือ การบริการ การอำนวยความสะดวกและหลักความปลอดภัย ความมั่นคงของชาติ สิ่งที่ทำเน้นหนักคือความโปร่งใส จะต้องทำให้นานาประเทศ สถานกงสุลในประเทศไทย ที่ดูแลคนของแต่ละประเทศในไทยมีความเชื่อมั่นศรัทธาให้ได้

ส่วนการเรียกรับผลประโยชน์ การเรียกเก็บเงินเป็นรายหัว รายคน ตั้งแต่ 300-100 บาท สั่งการไปยังทุกสนามบิน ทุกด่านแนวชายแดน ว่าห้ามเรียกรับผลประโยชน์

ยอมรับว่าถ้าพูดไปแบบนี้เหมือนวลีสวย แต่ขณะนี้ขึ้นป้ายโนทิปทุกด่าน ทุกสนามบิน แต่การอำนวยการและความสะดวก จะต้องเป็นไปตามเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นพรีเมียมเลน ฟาสต์เลนต่างๆ การบริการจะต้องนั่งเต็มเคาน์เตอร์ บริการโดยเสมอภาค เท่าเทียมกัน

สิ่งสำคัญของ สตม.คือการบริการ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางกลับประเทศแล้วเขาต้องอุ่นใจเชื่อมั่นแล้วอยากเดินทางกลับมาประเทศไทยอีก

ช่วงนี้ต้องทำให้เกิดความเชื่อใจ ศรัทธา ความรู้สึกที่ดีๆ กับประเทศต่างๆ จึงจัดให้มีแคมเปญในเรื่องนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาผ่านโต๊ะขาเข้าต่างๆ อาจจะมีเรื่องวันเดือนปีเกิดเป็นวันแฮปปี้เบิร์ธเดย์

แต่ละวันให้มี 1-2 ราย เพื่อจะให้เขามีความประทับใจ ว่าประเทศไทยเป็นสยามเมืองยิ้ม เพื่อให้เขาภูมิใจด้านการบริการว่า ตม.ทราบว่าเป็นวันครบรอบคล้ายวันเกิด รู้สึกว่าประเทศไทยต้อนรับเขา