ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 ตุลาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
“มีนิทานน่าฟังอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของเด็กหญิงคนหนึ่ง ขณะที่เดินเล่นอยู่ในทุ่งหญ้า เธอเห็นผีเสื้อติดหนามอยู่จึงค่อยๆ ปลดผีเสื้อตัวนั้นออกจากหนามปล่อยให้บินไป ไม่นานผีเสื้อตัวนั้นบินกลับมาแล้วแปลงร่างเป็นนางฟ้าแสนสวย”
“ที่เธอกรุณาฉัน” นางฟ้าพูดกับสาวน้อย “ฉันจะให้พรตามที่เธอปรารถนา”
สาวน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ฉันอยากมีความสุข”
นางฟ้าเอียงหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของสาวน้อยแล้วหายไปในบัดดล
เมื่อเด็กหญิงคนนั้นโตขึ้น ไม่มีใครเลยจะมีความสุขเท่าเธอ เมื่อมีใครถามถึงเคล็ดลับที่ทำให้เธอมีความสุข เธอก็เพียงแต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ฉันได้มันมาจากนางฟ้าแสนสวยคนหนึ่ง”
เมื่อชีวิตย่างเข้าสู่วัยชรา เพื่อนบ้านกลัวว่าเคล็ดลับข้อนั้นจะตายไปพร้อมกับเธอ จึงช่วยกันเข้าไปขอร้องเธอว่า “บอกพวกเราหน่อยเถิด นางฟ้าองค์นั้นบอกเคล็ดลับอะไรไว้”
คราวนี้หญิงสาวในวัยชรา พูดพลางยิ้มออกมาว่า
“นางฟ้าบอกฉันว่า ทุกคนไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ร่ำรวยเพียงใด มีอำนาจมากเพียงใด พวกเขาล้วนต้องการเสมอ”
แน่นอน พวกเราทุกคนต่างต้องการซึ่งกันและกัน
แง่งามในความรัก – Loving Each Other โดยลีโอ บุสคาเกลีย – Leo Buscaglia แปลโดย ธรรมรงค์ น้อยคูณ
ทุกครั้งที่หยิบหนังสือเกี่ยวกับความรักไม่ว่าเล่มใดก็ตามของลีโอ บุสคาเกลีย นักจิตวิทยาด้านความรักชาวสหรัฐขึ้นอ่าน
ผมจะพบแง่มุมใหม่ๆ เสมอ
ทว่าหนังสือแปลภาคภาษาไทยเล่มนี้ของเขาเป็นหนังสือที่แปลกประหลาด
มันถูกทอดทิ้งตามกองหนังสือเก่า แทนที่จะพบมันอยู่บนชั้นหนังสือทั้งที่มันมีเนื้อหาที่ไม่เคยล้าสมัยเลย
ราคาในกองกระบะหนังสือเก่าของมันอยู่ที่ยี่สิบบาท
น้อยเสียจนซื้อชาเขียวบรรจุขวดแม้เพียงขวดหนึ่งยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ตัวหนังสือถูกตีพิมพ์ด้วยสำนักพิมพ์จตุจักรที่ปราศจากตัวตนไปเสียแล้วในเวลานี้
กระนั้นถ้อยความข้างในของหนังสือเล่มนี้กลับยังมีชีวิตชีวาอยู่อย่างน้อยก็ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความรักและคิดที่จะรักกัน
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ในขณะที่ล่องไปในดินแดนอีสานครั้งล่าสุด
จากลำปาวไปยังทุ่งกุลา จากทุ่งกุลาไปสู่เมือง และจากเมืองสู่ชายฝั่งแม่น้ำโขง
เรื่องราวของนางฟ้าที่แฝงตนอยู่ในรูปกายของผีเสื้อสร้างความคิดคำนึงมหาศาลให้แก่ผม
“เราทุกคนล้วนต้องการซึ่งกันและกัน”
ข้อความอันเรียบง่าย ทว่ากลับเหมือนมีบางสิ่งกีดขวางอยู่ไม่ให้เราเข้าถึงความเรียบง่ายนั้น
หากเราต้องการกัน ทำไมเราจึงไม่อาจแสดงความต้องการนั้นได้
หากการรู้ว่าเราทุกคนล้วนโดดเดี่ยวและต้องการใครบางคน
เพราะเหตุใดเล่า เราจึงไม่อาจก้าวข้ามความโดดเดี่ยวที่ว่านั้นได้ ปริศนาแห่งความสัมพันธ์ของมนุษย์ดูจะเป็นปริศนาที่ลึกล้ำไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะในปริศนาแห่งความรัก
การตระเวนอีสานในครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อน
ในช่วงเวลานั้นผมยังเป็นเพียงนักศึกษาหนุ่มที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่พบว่าตนเองมีโอกาส
กิจกรรมหนึ่งที่ผมหลงใหลเอามากๆ คือการออกค่ายอาสาพัฒนา
มีคำกล่าวว่าสิบวันในช่วงปิดภาคการศึกษา ไม่มีอะไรที่ประหยัดรายจ่ายเท่ากับการสมัครไปค่ายอาสาพัฒนาอีกแล้ว เงินไม่กี่ร้อยบาท ทำให้เราได้ทั้งอาหาร ที่พัก เพื่อน และการท่องเที่ยวในที่ที่แปลกตา
หากตัดเอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงแรงในกิจกรรมทั้งหลายภายในค่ายไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานการครัว งานการสอนหนังสือ ฯลฯ แล้ว
งานออกค่ายอาสาพัฒนาก็คือการตากอากาศชั้นดีนั่นเอง
หมู่บ้านแรกที่ผมมีโอกาสไปถึงนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น มีชื่อว่าหมู่บ้านโนนสะทอน
พวกเราทุกคนถูกจัดให้พักตามบ้านของชาวบ้านหลังละสองหรือสามคนบ้าง สำหรับบ้านหลังใหญ่จำนวนนักศึกษาอาจมากถึงสี่หรือห้าคนก็เป็นได้
ผมได้โอกาสพักร่วมกับนักศึกษาต่างคณะที่รักชอบในกีฬาฟุตบอลเหมือนกัน
ดังนั้น ในทุกวันเมื่อหมดเวลาทำงาน พวกเราจะลงไปเตะบอลกับเด็กน้อยในหมู่บ้านอยู่เสมอ
สนามบอลที่ปล่อยฝุ่นสีแดงตลบอบอวลอยู่หน้าประตูแทนสนามหญ้าเขียวขจีที่ผมเคยชินยังเป็นภาพที่ติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้
การผูกมิตรกับเด็กน้อยประจำหมู่บ้านอย่างไม่ตั้งใจนั้น นำพาไปสู่การจัดตั้งกลุ่มเรียนรู้ที่ใช้ห้องเรียนและนักศึกษาที่สนใจจะทำงานกับเด็กขึ้นกลุ่มหนึ่งในที่สุด
คนที่มีความรู้ด้านคณิตศาสตร์จะติวเข้มด้านตัวเลขให้กับเด็กที่อ่อนคำนวณ
คนที่หลงใหลในการใช้ภาษาจะสอนวิธีการใช้ภาษาแบบเพลิดเพลิน ไม่เคร่งเครียดกับเด็กที่สนใจ
นักศึกษาหญิงบางคนสอนการเย็บปักถักร้อยและการทำอาหารแบบง่ายๆ ให้กับเด็กผู้หญิงที่สนใจ
สิ่งสำคัญในการเรียนรู้แบบนี้คือตัวพี่เลี้ยงจะต้องเรียนรู้จากเด็กด้วยเช่นกัน
และเอาสิ่งที่เรียนรู้นั้นมานำเสนอในการประชุมค่ายช่วงค่ำของทุกวัน
ไม่ช้าก็เร็ว นักศึกษาหลายคนในค่ายที่สมัครทำงานด้านการเรียนรู้สามารถเพิ่มพูนทักษะที่หลายอย่างก็ไม่รู้ว่าจะนำมันมาใช้เช่นไรในชุมชนเมือง
อาทิ บางคนเรียนรู้การเก็บขี้ยางตามต้นไม้เพื่อมาทำขี้ไต้
บางคนเรียนรู้วิธีตีผึ้ง วิธีเลี้ยงควาย
ส่วนผมนั้นสมัครใจสอนในการละเล่นและสมัครใจรับความรู้ใหม่เกี่ยวกับการหาปลา
ทุกเช้าผมจะนั่งไล่รายชื่อเกมการละเล่นแปลกๆ ที่ตนเองเคยเล่นมา
เกมโบราณเรียกชื่อ เกมไล่จับตามเส้น เรื่อยเรียงไปถึงเกมเปิดไพ่ไล่ฆ่าแบบโจรสลัด
เช่นเดียวกับที่ทุกเย็นผมจะตามเด็กน้อยคนหนึ่งที่เวลาตลอดวันเขาดำรงตนในฐานะนักเรียนของผมไปยังหนองน้ำประจำหมู่บ้าน
ที่นั่นผมได้ทดสอบความสามารถของตนเองในการวางเบ็ด เกี่ยวเหยื่อ ผสมรำกับเนื้อสัตว์แบบอื่นให้เป็นเหยื่อที่โอชะ
ไปจนถึงวิธีวางไซ ยกยอ ยกสวิง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายอายุสิบเอ็ดขวบที่มีชื่อว่าเคนจะมีความสามารถขนาดนั้น
ยามเย็น เราทั้งคู่จะนั่งหรือทำงานในความเงียบเพื่อรอการกินเหยื่อของปลา
เคนสอนผมถึงวิธีการปลดปลาหมอไม่ให้เงี่ยงบนตัวของมันทำร้ายเราได้
วิธีก่อกองไฟโดยฟืนเพื่อเผาปลากินรองท้องก่อนถึงอาหารมื้อค่ำ
ผิวของผมคล้ำดำลงทุกที พอๆ กับที่เคนสามารถประยุกต์เกมใหม่ๆ ที่ผมสอนไปมาเป็นของเล่นเฉพาะตัวได้
เขาแปลงบันไดงูในกระดานของเล่นงูไต่บันไดเป็นสะพานข้ามห้วยต่างๆ ในดินแดนแถบนั้น
เคนเป็นคนมีความสามารถมากในการวาดรูป เขามีกล่องสีกล่องหนึ่งที่ใช้ทุกวันจนด้ามดินสอสีแทบจะจับได้ไม่ถนัดแล้วจนต้องพึ่งพาการมัดดับกิ่งไม้เพื่อใช้งานมัน ในฐานะคนที่ชอบงานศิลปะด้วยเช่นกัน
ยามค่ำหลังเลิกการประชุมค่าย เคนจะแวะมาหาผมที่บ้านและเราสองคนจะนั่งวาดรูปเรื่อยเปื่อยไปด้วยกัน
สองอาทิตย์ของเวลาค่ายไม่ใช่เวลาที่เร็วนัก แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่เนิ่นนานเช่นกัน ในที่สุดวันอำลาของเราก็มาถึง นักศึกษาทุกคนขึ้นรถบัสที่จัดเตรียมไว้กลับสู่เคหสถาน
ในขณะที่ทั้งชาวบ้านและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าแถวเรียงหน้ากระดานมาส่งพวกเรากลับถิ่นฐาน เสียงเพลง “โบกมือลา เสียงเพลงครวญมาต้องลาแล้วเพื่อน…” ดังขึ้นรอบแล้วรอบเล่า
เคนจดชื่อและที่อยู่ของเขาใส่มือให้ผม “ถ้าพี่คิดถึงผม เขียนจดหมายมาคุยกันบ้าง”
ในยุคที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่นับว่าในหมู่บ้านนั้นไม่มีแม้โทรศัพท์บ้าน ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเคน ผมจึงเขียนจดหมายหาเขาเสมอ
จากจดหมายฉบับหนึ่งเป็นจดหมายหลายฉบับ จากจดหมายสั้นเป็นจดหมายฉบับยาว
จากจดหมายธรรมดาเป็นจดหมายที่พ่วงด้วยสิ่งของ
ทุกครั้งที่ผมเข้าร้านขายเครื่องเขียนและเห็นกล่องสีไม้ ผมจะซื้อมันส่งไปให้เคนเสมอ
จากสีราคาถูกไปจนถึงการตั้งใจเก็บเงินซื้อสีไม้กล่องใหญ่ให้เขาในวันสิ้นปี
จากสีไม้ไปสู่สีน้ำ จากสีน้ำไปสู่สีโปสเตอร์
เคนตอบจดหมายตามรายสะดวก ลายมือของเขาทรงพลังขึ้นตามจำนวนปีอันแสดงให้เห็นถึงการฝึกฝีมือเป็นระยะ
เขาส่งภาพวาดที่เขาวาดมาให้ชมบางรูปและเล่าถึงรางวัลที่เขาได้รับจากการประกวดภาพวาดในโรงเรียน
ฝีมือของเคนดีกว่าเด็กทั่วไปเป็นแน่ๆ แต่ก็ยังห่างไกลจากช่างวาดภาพมืออาชีพอยู่มากมาย
การศึกษาของผมมาถึงปีสุดท้าย ความวุ่นวายที่จะต้องจบการศึกษามาถึง ในขณะที่เคนเองก็เริ่มต้นเป็นนักเรียนชั้นมัธยมที่หมายถึงการต้องออกเดินทางไปศึกษาในตัวอำเภอ
ช่วงนั้นเองที่การติดต่อระหว่างเราเริ่มขาดหายลง
มิช้านานการขาดหายก็กลายเป็นความเคยชิน ผมเลิกเขียนจดหมายหาเคนก่อนการจบการศึกษาไม่นานนัก และหลังจากนั้นก็แทบลืมไปแล้วว่าผมเคยมีกิจกรรมดังกล่าว
หลายปีต่อมาในขณะที่ผมกลายเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัว
เย็นวันหนึ่งผมฆ่าเวลาก่อนการฉายภาพยนตร์ด้วยการเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ชั้นล่างของห้างมีงานแสดงศิลปะของนักศึกษา ผมเดินเข้าไปในงาน ชมภาพวาดทิวทัศน์หลายภาพที่น่าสนใจก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าภาพวาดว่าด้วยชายหาปลาสองคนที่กำลังช่วยกันยกยอ
ภาพวาดนั้นวาดโดยเคน ผู้ที่ส่งเสียงทักทายผมอย่างดีใจ
ผมได้รู้ว่าเคนจบการศึกษาชั้นมัธยมในอำเภอ เข้าเรียนด้านอาชีวศึกษาชั้นต้นด้านศิลปะในจังหวัดก่อนจะเข้ามาศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้านศิลปะในเมืองหลวง
เขาเล่าถึงกล่องสีจำนวนมากที่ผมส่งถึงเขาว่ามันมีผลกระทบต่อชีวิตของเขาอย่างไรบ้างจนกระทั่งถึงบัดนี้
“ผมอยากเขียนจดหมายหาพี่ แต่พอเวลาผ่านไปผมก็คิดว่าพี่น่าจะย้ายที่อยู่ เพราะมีฉบับหนึ่งที่ถูกตีกลับ เจอพี่วันนี้ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก”
เราทั้งคู่แลกที่อยู่กันอีกครั้งพร้อมกับเบอร์โทรศัพท์จากที่ทำงานของผม ก่อนที่ผมจะขอตัวจากไปชมภาพยนตร์ ระหว่างที่นั่งชมภาพยนตร์ผมคิดถึงเคน เขาได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านศิลปะแม้จะเพียงเล็กน้อยจากผมและได้เติบโตไปในเส้นทางที่ควรจะเป็น
แต่ผมเล่า ความรู้ด้านการหาปลาจากเขา ผมจะนำมันไปทำสิ่งใดบ้าง
หลายปีผ่านไป จนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อผมต้องพัวพันกับงานเขียนเกี่ยวกับอาหารและปลาดินแดนอีสาน ไม่น่าเชื่อว่าความรู้ที่ผมได้จากเคนถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งหลังกาลเวลาผ่านไปนับสิบสิบปี
วิธียกยอที่เคนสอนผม วิธีผูกเบ็ด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกรื้อฟื้นและทำให้ผมพบว่าเราต่างมีส่วนที่ได้เรียนรู้จากบุคคลอื่นแฝงอยู่ในตนเองเสมอ
เราไม่อาจดำรงตนอยู่ในโลกได้อย่างโดดเดี่ยวและการพึ่งพาของเรา ความต้องการของเราที่มีต่อกันนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราไม่ช้าก็เร็ว
แน่นอนพวกเราทุกคนล้วนต่างต้องการซึ่งกันและกัน