ทวีปที่สาบสูญ : เอ่อรินซึมซาบ มันเกิดขึ้นได้ยังไง

ฉันเคยสงสัยเหมือนกันว่า คนเราเติบใหญ่ขึ้นในยามใด เมื่อสำนึกรู้ตัวอีกครั้ง เราก็พบตัวเรามีขนหนาหยาบหงิกงอขึ้นเรื่อยๆ ในหว่างขา แม้แต่ในซอกขี้แฮ้ก็มีเส้นขนผุดงอกตลอดเวลา

หลายครั้งที่ฉันลองใช้แหนบดึงมันออก หรือใช้มีดโกนอันเล็กๆ ถากเส้นขนออกไป…เพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ หรืออาจเพียงอยากจะกลับไปเป็นตัวฉันคนเก่า…อีพี่คนนั้น ที่เส้นขนยังไม่มี ไหล่แขนเกลี้ยงเกลา แม้จะมีตุ่มหนองอยู่ตามแข้งขา น้ำมูกป้ายแก้มเกรอะกรัง ทว่า ชีวิตครั้งนั้นมันก็ดีพอกว่านี้

ดียังไง…ฉันก็ยังอธิบายไม่ได้ รู้แค่ว่ามันดี เพราะแม้จะเคยเหงา เคยร้าวรอนตอนคิดถึงยาย เคยเบื่อหน่ายพ่อแม่ แต่ฉันก็ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ร้าวทารุณตกค้างในก้นบึ้งใจ

ใช่ อยากจะเรียกมันว่า ความร้าวทารุณ เพราะไม่รู้จะเอาคำไหนมาใช้ได้อีก

 

[ร้าวทารุณ

กูต้องการไออุ่น (ขีดฆ่า) ฉันต้องการไออุ่นสำหรับความฝัน

จะมีบ้างไหมวันเวลา (ขีดฆ่า) วันคืนเหล่านั้น

ที่ตัวฉันจะมี…(จะมีอะไร…)…ที่ตัวฉันจะมีความสุขบ้างอย่างใครๆ]

ตัวหนังสือปรากฏขึ้นทีละคำ ละคำ บนหน้ากระดาษสมุด ฉันตัดสินใจใช้ปากกาเขียน เพื่อให้เห็นชัด และจะได้ไม่ลบเลือนหากเปื้อนน้ำเปื้อนฝนเข้า

มันคือสมุดปกลายไทย ที่ฉันมักจะสอดไว้ในย่ามถุงห่อข้าว สำหรับเอาติดตัวไปทำงานในทุ่งนา ก็ยังคงทำงานในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบ รับค่าแรงวันละสิบหกบาท ใน “วี้ก” หนึ่งจะเงินออกครั้งหนึ่ง ฉันจะได้เงินคราวละหนึ่งร้อยสิบสองบาท ซึ่งนั่นก็มากกว่าคนอีกจำนวนมากที่ไม่มีงานทำ

แม่ไม่อบรมสั่งสอนอะไรฉันมากอีกต่อไป ทุกอย่างดำเนินไปปกติดี ตื่นเช้าแต่ละวัน แม่จะเตรียมอาหารไว้ให้กินก่อนไปทำงาน และมีอีกห่อสำหรับยัดลงย่ามเอาไปเป็นมื้อเที่ยง ตกเย็นเมื่อกลับ แม่ก็จะเตรียมโตกเสร็จสรรพ เสื้อผ้าที่นุ่งแต่ละวัน เป็นแม่อีกที่คอยเอาไปซักให้

ฉันพอใจไหมกับสิ่งเหล่านั้น ก็คงพอใจ หรืออาจจะปราศจากความคาดหวังใดมากไปกว่านั้น เมื่อเงินออกก็จะแบ่งส่วนใหญ่ให้แม่ เอาเก็บไว้ให้ตัวเองบ้าง น้องกำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พ่อก็ยังเป็นหนานคนเก่า สุขสบายดีในโลกของตัวเอง มีงานบ้านเหนือบ้านใต้ บางครั้งได้ไปถึงต่างถิ่นต่างแดน และเมื่อกินเหล้าหนักหน่อยก็โรคกระเพาะกำเริบ เข้าโรงหมอโรงยา เป็นแม่อีกที่จะต้องวิ่งวุ่นเสาะหาเงินทอง

ค่าแรงของฉันส่วนหนึ่งก็ถมลงไปในเรื่องเหล่านั้น

ชีวิตผ่านไปทีละวัน

เวียนวนอยู่อย่างนั้น ทุกวัน ทุกคืน จนดูเหมือนว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุด คือสมุดของฉัน

 

ฉันเขียนบทกลอนลงในสมุดทุกวัน รวมถึง “เรื่อง” ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกมันเป็นเรื่องสั้นหรือเรื่องยาว แม้บางสิ่งไม่อาจจะเขียนได้ดั่งใจ บางอย่างก็ไม่อยากจะนึกถึงมัน หลายเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วก็ใช่จะลบเลือนได้สิ้น ซึ่งทั้งหมดนั้น ฉันคงทำได้ดีที่สุดคือ การเขียนถึงความรู้สึกตัวเอง

เบื่อไหม…มีหลายต่อหลายครั้งที่ฉันถามตัวเองแบบนั้น ยามเปิดดูแต่ละหน้าในสมุด เต็มไปด้วยถ้อยคำซ้ำซาก

เหงา เศร้า เจ็บ ร้าวรอน ขมขื่น ทุกข์ ทรมาน ความทุกข์ ความทรมาน ความทุกข์ทรมาน ความจน ความลำบาก ความยากไร้ ชีวิต ความฝัน อนาคต อดีต ความรัก…

และเมื่อเขียนถึงคำว่ารัก…ก็เหมือนหลายต่อหลายครั้ง ที่อดนึกอยากยิ้มอย่างเหยียดหยันไม่ได้ ฉันคิดว่าได้รู้จักมันมามากเพียงพอแล้ว ก็แค่…คำห่วยๆ คำหนึ่งซึ่งไร้ราคา

ฉันคิดถึงใบหน้าจำนวนมากที่เรียงซ้อนและผ่านไป แต่ละชื่อที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพื่อบอกให้ฉันรู้ว่าชีวิตคือการไม่อาจไขว่คว้าอะไรไว้ได้ ความจริงคือความไม่มี ใช่…ไม่มี ไม่มีความรักที่แท้สำหรับใคร กระทั่งในหัวอกของฉัน เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่รู้เลยว่า ฉันควรจะรักใคร

 

ตุ๊กตาของพ่อกับแม่ ยังคงตั้งอยู่ในบางซอกมุมของบ้าน ฉันเคยเข้าไปยืนจ้องมองพวกมัน ตัวหนึ่งปั้นขึ้นจากดินเหนียว อีกตัวสานจากไม้ไผ่ ตัวของพ่อมีนัยน์ตาฝังไว้ด้วยเม็ดพุทธรักษา ส่วนตัวของแม่ปราศจากเบ้าตา และป้ายลิปสติกสีแดงเอาไว้

ฉันเกือบจะตระหนก…หรือเปล่า เมื่อจู่ๆ วันหนึ่งก็ตื่นขึ้นกับความจริงที่ทำให้สายหมอกทิ้งเงามัวลงห่มคลุมตลอดทั้งหมู่บ้าน นี่มันคือดินแดนแห่งภาพมายา? เราไม่อาจรู้เลยด้วยซ้ำไปว่า ทุกดวงใจที่เต้นอยู่ในแต่ละร่าง ต่างไม่เคยเชื่อมต่อถึงกัน? หรือเพียงบางครั้งเท่านั้น ที่หัวใจของผู้คนเข้าใกล้เกี่ยวพัน

วันที่พ่อหนุนตักแม่ วันที่มีเสียงเพลงจากปากของคนทั้งสอง วันซึ่งลมเหนือพัดล่อง เคยมีแดดส่องมาถึงแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน วันอย่างนั้น…มันเป็นแค่ความฝันชั่วคราวของเราทุกคน?

ข้อเท็จจริงมีว่า แม่ไม่เคยรักพ่อ พ่อไม่เคยรักใคร พี่ๆ ไม่มีแม่ และแม่มีใครคนหนึ่งฝังอยู่ในห้วงใจเงียบเชียบ

เงียบเหมือนก้นน้ำบ่อลึกสุดหยั่ง กระทั่งฉันเองก็ยังเข้าไปไม่ถึง

 

[กู(ขีดฆ่า) ฉัน…จะไปที่ไหน ไปสู่หนแห่งใด จะมีใครตอบได้บ้าง

ฉันจะต้องดั้นด้นอีกกี่เส้นทาง จึงจะได้หยุดการแสวงหา]

ฉันเบื่อตัวเอง เบื่อที่จะต้องคิด เบื่อที่จะต้องรู้สึก บางเวลาก็ยังเบื่อแม้จะต้องตื่นขึ้นมาจากสะลีที่นอน แต่ก็จำเป็นต้องผลักผ้าห่มออก ลุกขึ้น เดินลงไปส้วม ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวเพื่อจะเตรียมออกจากบ้าน คว้าเสื้อแขนยาวมาสวม คว้าผ้าขาวม้า หมวก หยิบสมุดกับปากกายัดลงย่าม จักรยานสีแดงรออยู่นั่น

และฉันย่อมไม่มีวันจะฝันถึงรถเครื่องอย่างใครๆ

 

“ทําไมวันนี้มาสาย”

เสียงร้องทักมาจากใบหน้าที่ส่งยิ้มสว่างแจ่มใส ถ้าไม่มีฟันเกๆ ซี่นั้น หรือจมูกโด่งขึ้นอีกสักหน่อย หวานก็คงเป็นคนหน้าตาดีได้เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้วผิวที่ขาวมากกว่าฉัน ลูกตาสีน้ำตาลอ่อนกับปากชมพูระเรื่อ ก็ทำให้หวานน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

แต่ก็นั่นเอง ฉันชอบหวาน แต่เพื่อนอย่างหวานก็ไม่ใช่คนเข้ามาสนิทชิดใจ…อธิบายไม่ถูก เพราะถ้าไม่นับเรื่องกินข้าวด้วยกัน แบ่งขนมกันกิน ไปเที่ยวบ้านกันบ้าง ฉันก็ยังไม่เคยนึกอยากเล่าเรื่องส่วนตัวใดให้หวานฟัง

บางครั้งยังนึกรำคาญเสียอีก เวลาหวานคอยเกาะแกะพัวพัน

อย่างวันหนึ่ง

“หัวหน้ามาหรือยัง” ฉันถามออกไปแทนคำตอบ

“มาแล้วนะสิ แต่ยังไม่ได้เช็กชื่อ โชคดีที่เธอมาทัน” หวานว่า ฉันพยักหน้ารับรู้ แล้วคลี่ผ้าขาวม้าออกคลุมหัว

คนงานบางส่วนกำลังทยอยออกสู่แสงแดด ในห้างเพิงพักมีเพียงฉันกับหวานสองคน

“อ้าว เสื้อขาดนี่” หวานคว้าแขนเอาไว้

มีคราบเปื้อนเป็นด่างดวงที่แขนเสื้อ และรอยโหว่คล้ายโดนของแหลมเกี่ยว อาจเป็นหนามไม้ไผ่ที่ไหนสักแห่ง ฉันเหลือบตาดูบ้างอย่างไม่ใส่ใจ แต่หวานกลับดูเดือดร้อนกว่า

“แบบนี้ต้องชุนเสีย” เด็กสาวเพ่งตาอย่างใช้ความคิด “ถ้าปะดีๆ ก็จะมองไม่เห็นแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก” ฉันดึงแขนกลับ “แค่เสื้อนุ่งรอบทำงาน เปื่อยบ้างช่างมัน”

“ผ้ายังดีอยู่เลย” หวานแย้ง “เดี๋ยวพรุ่งนี้ถ้ามีงานเหมา เราได้กลับเร็ว จะเอาไปเย็บให้”

ฉันอดมองหน้าหวานไม่ได้ เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ หวานมักทำแต่เรื่องดีๆ กับฉัน ใส่ใจเป็นธุระสารพัน ทั้งที่ตอนเรียนประถมอยู่ในห้องเดียวกัน ฉันแทบไม่เคยจดจำว่าหวานเป็นใคร

เคยมีเหมือนกัน รางๆ เลือนๆ ในความนึกคิด ฉันเคยไปบ้านของหวาน ได้พบพ่อของเธอ ผู้ชายที่สวมหมวกไหมพรมนั่งหน้ากองไฟ แต่ก็ไม่อยู่ในความทรงจำยาวนัก แค่นึกขึ้นมาได้เป็นครั้งคราว แล้วหายเลือนไป

จนเราได้มาพบกันอีกครั้ง เมื่อเข้าทำงานในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบ หัวหน้ามักให้เราจับคู่ด้วยกัน และทุกๆ วันใต้เวิ้งฟ้ากว้างขวางนั่น ก็มีหวานเท่านั้นที่ทักทายฉันอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยหลบลี้หนีหน้า

 

ต่างกันลิบลับกับ…จอมฝัน คนผิวสีน้ำผึ้งที่ทำให้ฉันเขียนบทกลอนได้หลายบทในสมุดลายไทย แม้ว่า เมื่อเวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ไม่มีอะไรคืบหน้าอีกเลย

กลับมาเข้างาน จอมฝันก็ทำเหมือนฉันไม่เคยไปบ้านของเธอ และเธอยังแสดงความสนิทสนมกลมเกลียวกับพี่โสม คนตัวสูงเสียอีกที่มักลอบมองฉันอยู่นิ่งๆ และบางครั้งก็นาน…ฉันรู้เมื่อมีวันเหลียวไปเห็นเข้าโดยบังเอิญ

แต่ฉันเลิกใจเต้นแล้ว เมื่อบทกลอนหลั่งไหลลงในสมุดเรื่อยๆ ตัวหนังสือคือเพื่อนแท้ ฉันคิดอะไร รู้สึกอะไร ไม่จำเป็นจะต้องบอกใครอีก ฉันจะเอาเวลาไปอ่านทบทวน คัดลอกบางบทออกมา เขียนใส่กระดาษฉีก พับสอดซองจดหมาย ฉันจะส่งไปลงในหน้านิตยสารโน่น

ความรู้สึกของฉัน พวกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ควรมีใครต้องได้รับรู้มัน

ความรู้สึกของฉัน หากใครสักคนจะเข้าใจ ขอให้พวกเขา “อ่าน” มัน โดยไม่ต้องรู้ว่าฉันคือใคร

ถ้าฉันจะคิดถึงใคร ก็เป็นแค่เรื่องส่วนตัวของฉัน

สำหรับความรักของฉัน หรือจะความรักของใคร แค่เรื่องขี้หมาขี้ควาย ขี้เป็ดขี้ไก่ เรื่องไร้สาระทั้งนั้น

[แล้วฉันยังฝันถึงความรักอยู่ไหม

ฉันคิดถึงใครอยู่หรือเปล่า

มีบ้างไหม วันที่ท้องฟ้าจะไสวด้วยแสงดาว

อ้อมกอดใดหนอจะอุ่นพอสำหรับอกร้าว-อกนี้]

“นะ พรุ่งนี้เราจะไปเย็บเสื้อให้”

เสียงเพื่อนพูดซ้ำอีกหน ฉันเหลือบตาดูหวาน ก็เห็นยิ้มที่กระจ่างอย่างจริงใจ ดึงแขนตัวเองกลับมากลัดกระดุมข้อมือ เพียงพยักหน้าส่งๆ ให้ แล้วคว้าหมวกปีกกว้างเตรียมจะออกสู่งานประจำวัน

ขณะนั้นเองที่คนตัวสูงผ่านเข้ามาชายคามา

“ร้อน” เสียงนำมาก่อนตัว พลางปลดผ้าขาวม้าออกหน้า “ไม่ทันไรก็ได้เหงื่อแล้ว”

ฉันกำลังจะเดินผ่าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีมือยื่นมาแตะเอว เบือนหน้าไปดู สายตาที่มักจ้องฉันไกลๆ อยู่ใกล้แค่คืบ

หวานเดินออกไปก่อนแล้ว ในเพิงพักคนงานเหลือเพียงฉันกับคนร่างสูง มัดผมข้างหลังเป็นหางม้า

อย่างที่บอก ฉันไม่ใจเต้นอีกแล้ว ไม่ว่ากับใคร เพียงแต่…ที่รู้สึกหวั่นไหว กลับเป็นบางสิ่งที่กระตุกเต้นขึ้นในซอกขา

ฉันไม่รู้ว่า จะเรียกมันว่าอะไร ไม่ใช่ความรัก ปราศจากความวุ่นวายใจ ออกจะสงบและนิ่งงัน รับรู้เพียงอาการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง

กลืนน้ำลาย ตาก้มดูปลายนิ้วที่แตะค้างบนตัว ก่อนเงยหน้า เพื่อพบสายตาจับจ้อง

 

“อะไรหรือพี่” หลุดคำถามออกไป

ผู้หญิงร่างสูงมองลึกเข้ามาในตาฉัน โดยไม่มีใครทันสังเกตสิ่งที่เกิดกับเรา ลมหายใจฉันผ่าวร้อนขึ้นฉับพลันทันใด แม้ร่างกายภายนอกซุกซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าหนาเตอะ

นั่นเม็ดเหงื่อข้างแก้ม นั่นไรผมเหลือบเงา ปกเสื้อสีฟ้าเทา กระดุมสีขาว สะโพกสอบอยู่ในกางเกงขายาว รองเท้าบู๊ตยางครึ่งแข้ง มีไรขนอ่อนที่แขนของหล่อนด้วย อาจจะสีใกล้กับไรขนของฉัน

นั่นปากหล่อน นี่ปากฉัน กลืนน้ำลายอีกครั้ง และฉันก็เห็นจอมฝันอยู่ไกลๆ ช่างกระไรเลย หัวใจไม่สั่นไหวสักนิด แต่ฉันคิดว่าใต้ผ้านุ่งต่างหาก บางสิ่งกำลังเอ่อรินซึมซาบ มันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือเพราะฉันแยกร่างกายกับจิตใจออกจากกันได้แล้วจริงๆ…