ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | คุยกับทูต |
ผู้เขียน | ชนัดดา ชินะโยธิน [email protected] |
เผยแพร่ |
คุยกับทูต พันเอกราซา อุล ฮัซเนน กองทัพไทย – ปากีสถานกระชับความร่วมมือ (1)
ปัจจุบัน ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติกันอย่างใกล้ชิด ดังที่มีการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime : AMMTC) หรือการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อปี ค.ศ.2001 ที่กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไน
ซึ่งที่ประชุมได้ออกปฏิญญาว่าด้วยการร่วมกันต่อต้านการก่อการร้าย (2001 ASEAN Declaration on Joint Action to Counter Terrorism) และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ข่าวกรอง ความร่วมมือกับประเทศและภูมิภาคอื่นๆ
สำหรับประเทศไทยก็ได้ยืนยันความพร้อมในการร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศต่อสู้กับก่อการร้ายทุกรูปแบบในกรอบของสหประชาชาติเสมอมา
โดยไทยยึดมั่นในพันธกรณีที่จะปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการต่อต้านการก่อการร้าย
ซึ่งเห็นได้ว่ากลุ่มก่อการร้ายมีแนวโน้มขยายเครือข่ายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
การก่อการร้ายนั้นมีผลกระทบไปทั่วโลก ทั่วทุกภูมิภาค
ดังนั้น หน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งรับผิดชอบการต่อต้านการก่อการร้ายสากล จึงต้องจัดทำแผนและซักซ้อมตั้งแต่ในยามปกติ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะปฏิบัติได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับปากีสถาน เริ่มเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1951 ปัจจุบัน นายอะศิม อิฟติคัร อะห์มัด (H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad) ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย
ทั้งสองประเทศต่างเป็นมิตรที่ดีต่อกัน มีความร่วมมือกันในทุกมิติทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในเกือบทุกสาขา
หนึ่งในเสาหลักของความสัมพันธ์ทวิภาคีอยู่ในความร่วมมือด้านการป้องกันซึ่งครอบคลุมหลายประเด็น
วันนี้ พันเอกราซา อุล ฮัซเนน (Colonel Raza Ul Hasnain) ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย ซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศ สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม มาเล่าถึงความร่วมมือทวิภาคี ไทย-ปากีสถานในด้านการต่อต้านการก่อการร้าย
“หน่วยรบพิเศษจากศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากลของไทย (CTOC) และหน่วยรบพิเศษของกองทัพปากีสถาน ได้มีการฝึกร่วมในการต่อต้านการก่อการร้ายครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยใช้รหัสว่า ตรีศูล 17 (Trisul -17) ณ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติประเทศปากีสถาน (NCTC)”
“ส่วนในปีนี้ ตรีศูล 18 (Trisul -18) คือชื่อรหัสในการฝึกร่วมต่อต้านการก่อการร้ายครั้งที่สอง ระหว่างไทยและปากีสถาน มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้แบบต่างๆในการต่อต้านการก่อการร้าย ประกอบด้วย หน่วยรบพิเศษปากีสถาน (SSG PAKISTAN) 19 นาย และหน่วยรบพิเศษไทย (SSG THAILAND) 63 นาย”
“การฝึกร่วมจัดที่ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล (CTOC) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ และศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 5-14 สิงหาคมที่ผ่านมานี้”
หน่วยรบพิเศษ (Special Services Group : SSG) ดังที่กล่าวมา คือหน่วยทหารที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างหนักที่สุด ถูกกล่าวขานว่าเป็นหน่วยรบที่เก่งกาจและแข็งแกร่งที่สุดในโลก พร้อมในการปฏิบัติภารกิจที่อันตรายเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร มีประวัติสืบเนื่องมาจากการต่อสู้ของหน่วยรบพิเศษเยอรมัน (Brandenburgers) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีหน่วยรบพิเศษทั้งนั้น ก็เพื่อความปลอดภัยของประเทศนั่นเอง
สําหรับการจัดอันดับหน่วยรบพิเศษชั้นนำ 10 อันดับแรก พิจารณาจากทักษะและประสบการณ์ เป้าหมายหลักคือ การมีกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการจัดการกับสถานการณ์ที่ความปลอดภัยไม่อาจเป็นไปได้ แต่ทำให้เป็นไปได้
SSG PAKISTAN เป็นหน่วยรบพิเศษของกองทัพปากีสถาน เปรียบได้กับ SAS : Special Air Service หน่วยรบพิเศษทางอากาศแห่งกองทัพอังกฤษ และหน่วยรบพิเศษของกองทัพสหรัฐ หน่วย SSG PAKISTAN ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1956 และได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษเพื่อทำสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) การต่อต้านการแพร่กระจาย (Counter-Proliferation) การปฏิบัติการพิเศษ การช่วยเหลือรัฐบาลต่างประเทศเพื่อป้องกันภายใน (Foreign Internal Defense)
การช่วยเหลือตัวประกัน และการต่อต้านการก่อการร้ายภายในและภายนอกพรมแดนของปากีสถาน หน่วย SSG เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็น “นกกระสาดำ” (Black Storks)
โดยปีนี้ SSG PAKISTAN ได้รับการจัดอันดับให้ เป็น 1 ใน 10 หน่วยรบพิเศษที่ดีที่สุดในโลก เนื่องจากปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่ประสบความสำเร็จอย่างนับไม่ถ้วน
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่จึงต้องไตร่ตรองอย่างหนักก่อนที่จะคิดทำร้ายประชาชนชาวปากีสถาน
“การฝึกร่วมนี้ มุ่งสู่เป้าหมายเฉพาะตัวบุคคล เพื่อให้มีทักษะการยิงปืน การส่งเสริมให้มีแนวคิดในการปฏิบัติงานร่วมกัน การมีความเข้าใจในกลไกที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือตัวประกันทั้งทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการเสริมสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นระหว่างหน่วยรบพิเศษของทั้งสองประเทศ จนถึงระดับทหารภายใต้สภาพแวดล้อมของการต่อต้านการก่อการร้ายในเมือง”
พันเอกราซา อุล ฮัซเนน ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ชี้แจง
“ในพิธีเปิดการฝึกอบรม การปฐมนิเทศ กล่าวถึงรายละเอียดในการฝึก การปฏิบัติต่างรูปแบบ การประลองยุทธ์ขั้นพื้นฐาน การทำความคุ้นเคยกับยุทธวิธีและอาวุธยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรมที่เน้นการวางแผน และการดำเนินงานตามขั้นตอนที่ได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดี เพื่อต่อต้านการคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้”
“การฝึกอบรมดังกล่าวนี้ยังเกี่ยวกับการค้นหาและการกู้ภัย การเข้าเคลียร์พื้นที่ การทำความเข้าใจในทักษะขั้นพื้นฐานต่อการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากการรบทางยุทธวิธี (Tactical Combat Casualty Care : TCCC)”
เป้าหมายของ TCCC คือ การปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง ช่วยเหลือการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ และป้องกันไม่ให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม
ส่วนการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากการรบทางยุทธวิธี (TCCC) แบ่งเป็น 3 ระยะคือ ดูแลระหว่างการปะทะ การดูแลในพื้นที่หลังการปะทะ และการส่งกลับทางยุทธวิธี
“นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันยิงปืนขนาดเล็ก การต่อสู้แบบประชิดตัว (Close Quarters Battle : CQB) การฝึกโรยตัวด้วยเชือกลงทางดิ่งแบบเร่งด่วน (Fast-roping) หรือการโรยตัวในพื้นที่ยากลำบาก (rappelling) การเข้าถึงที่หมาย (โดยยานพาหนะและเฮลิคอปเตอร์) การปิดล้อมและการค้นหา การสะกดรอยตาม การฝึกยิงปืนที่มีเนื้อหาของการฝึกที่เข้มข้น การฝึกซ้อมเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) และระเบิดแสวงเครื่อง (IED) เน้นความสำคัญของการเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยรบพิเศษของไทย และปากีสถาน”
“เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา พล.ท.ชัชชัย ภัทรนาวิก ผู้บัญชาการศูนย์การต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.) กองบัญชาการกองทัพไทย และ พล.ต.ซาฮีด มาห์มูด (Maj. Gen. Shahid Mahmood) ผู้บัญชาการกองพลที่ 11 แห่งกองทัพปากีสถาน และคณะ ได้ไปตรวจเยี่ยมการฝึกภาคสนาม พร้อมทั้งให้โอวาทแก่กำลังพลทั้งสองประเทศ โดยมอบของที่ระลึกให้แก่ผู้แทนประเทศและผู้รับการฝึก ในพิธีปิดการฝึกฯ ณ ศูนย์การทหารราบ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์”
“ทั้งนี้ หน่วยรบพิเศษทั้งสองฝ่ายจะได้พบกันอีกใน ตรีศูล 19 (Trisul -19) ที่ประเทศปากีสถาน ราวกลางปีหน้า”
เนื่องจากประเทศไทยได้เล็งเห็นว่า การต่อต้านการก่อการร้ายสากลเป็นเรื่องสำคัญระดับนานาชาติ ซึ่งการสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จะทำให้ไทยเป็นผู้นำภูมิภาคอาเซียนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการต่อต้านการก่อการร้ายสากลให้เวทีโลกได้เห็นต่อไป
ในขณะที่ทางการปากีสถานกล่าวว่า ประเทศปากีสถานเป็นศูนย์กลาง (hub) ของหน่วยฝึกอบรมทางทหารที่เน้นสร้างขีดความสามารถในการต่อต้านการก่อการร้าย และร่วมอยู่ในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายกับสหรัฐในดินแดนของตนเองมาตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยพยายามรักษาดุลแห่งความสัมพันธ์ระหว่างอิสลามาบัดและวอชิงตัน
แต่เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมานี้ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (The Pentagon) ออกมาเปิดเผยว่า เตรียมพิจารณาแผนการตัดงบประมาณช่วยเหลือทางการทหารปากีสถานมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.8 พันล้านบาท โดยอ้างว่า ทางการปากีสถานล้มเหลวในปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย
ทั้งนี้ เพื่อกดดันให้ทางการปากีสถาน ซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐ ให้ดำเนินมาตรการต่างๆ ต่อกลุ่มเครือข่ายก่อการร้ายที่เคลื่อนไหวในประเทศ เช่น เครือข่ายฮักกานี (Haqqani) และกลุ่มทาลิบัน (Taliban) ที่เป็นชาวอัฟกัน
โดยกองทัพสหรัฐจะนำเงินช่วยเหลือดังกล่าว (ซึ่งถูกชะลอไปแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ในเดือนมกราคม) ใช้ในภารกิจที่สำคัญกว่า หากว่าปากีสถานยังคงเพิกเฉยในการจัดการเรื่องนี้
รัฐบาลปากีสถานออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของสหรัฐโดยระบุว่า
“300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ได้เป็นเงินช่วยเหลือ ในความเป็นจริงคือการชำระเงินคืนในรูปแบบของกองทุนสนับสนุนพันธมิตรสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายของเรา เราจำเป็นต้องพิจารณาว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายโดยรวมของสันติภาพในภูมิภาคนี้ ปากีสถานประสบความสำเร็จอย่างมาก เราได้เคลียร์พื้นที่ของเราจากผู้ก่อการร้าย แต่ดินแดนส่วนใหญ่ของอัฟกานิสถานไม่ได้อยู่ในการควบคุมของกองกำลังสหรัฐและรัฐบาลอัฟกานิสถาน”
“เราได้ฟื้นฟูสันติภาพในบ้านของเรา และกำลังเร่งสร้างรั้วกั้นตามแนวชายแดนที่เหลือกับอัฟกานิสถานเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดนที่ผิดกฎหมายทุกประเภท นี่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเราในการต่อสู้กับการก่อการร้าย”
“หนทางสู่อนาคต คือปากีสถานกับสหรัฐจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ให้มากขึ้น การเยือนปากีสถานของนายไมก์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐและการเข้าพบหารือกับนายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน (Imran Khan) ของปากีสถาน นับว่าเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
“เป็นการลดช่องว่างและหาแนวทางร่วมกันในการปรับความสัมพันธ์ให้ก้าวไปข้างหน้าโดยการพัฒนาความร่วมมือและความไว้วางใจซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้น”
“ดังนั้น สหรัฐและปากีสถานจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนในอัฟกานิสถาน อันเป็นความสนใจร่วมกันของเรา ซึ่งปากีสถานยังคงมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อเป้าหมายนี้”