วิถีแห่งอำนาจ เกี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร/จุดพลิกผัน แปรเปลี่ยน (157)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เกี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

 

จุดพลิกผัน แปรเปลี่ยน (157)

 

เริ่มจากก๊วยเซียงสอบถามความนัยระหว่างตวนอ้วงเอี้ยแห่งไต้ลี้ เอ็งโกว จิวแป๊ะทง เมื่อจิวแป๊ะทงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตวนอ้วงเอี้ยออกบวชเป็นหลวงจีนอิดเอ็งไต้ซือ

“เราบังเกิดความเสียใจต่อเขาเป็นที่สุด”

เอี้ยก่วยพลันสอดคำ “อิดเอ็งไต้ซือที่บวชเป็นหลวงจีนเพราะบังเกิดความเสียใจต่อท่าน มิใช่ท่านเสียใจต่อเขา หรือว่าท่านไม่ทราบ”

“เขาไฉนบังเกิดความเสียใจต่อเรา”

“ทั้งนี้เพราะมีคนทำร้ายบุตรชายท่าน เขากลับหักใจทนเห็นการตายโดยไม่ช่วยเหลือ”

“บุตรชายของเราอันใด” เป็นความสงสัยจากจิวแป๊ะทง

เมื่อเอี้ยก่วยถ่ายทอดเรื่องราวจากอิดเอ็งไต้ซือให้ฟัง ทันทีที่จิวแป๊ะทงได้ยินว่าตัวเองเคยมีบุตรคนหนึ่งคล้ายถูกอสนีบาตฟาดใส่แสกหน้า

แตกตื่นตะลึงลาน

จิตใจบัดเดี๋ยวเศร้าโศก บัดเดี๋ยวยินดี หวนนึกถึงความทุกข์ยากลำบากของเอ็งโกวในหลายสิบปีมานี้ยิ่งบังเกิดความรักเวทนาเสียใจอย่างสุดซึ้ง เอี้ยก่วยสังเกตเห็นเช่นนั้นต้องครุ่นคิด “ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นบุคคลมากน้ำใจ นับเป็นชนชั้นเดียวกับเรา เราไยต้องหวงแหน 17 ท่าฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลายด้วย”

ตรงนี้คือจุดบรรจบ ตรงนี้คือจุดพลิกผันและแปรเปลี่ยน

 

กิมย้งกล่าวถึงการแปรเปลี่ยนอันมาจากเอี้ยก่วยตามสำนวนแปลของ น.นพรัตน์ ออกมาว่า ดังนั้น เอี้ยก่วยกล่าวขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสแซ่จิว ข้าพเจ้าจะแสดงเพลงฝ่ามือทั้งชุดให้ท่านชมดู”

ครั้นแล้ว ปากท่องเคล็ดวิชา มือกรีดวาดประกอบ แสดงท่าเพลงฝ่ามือทั้ง 17 ท่าตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เนื่องด้วยใบหน้าเอี้ยก่วยสวมหน้ากากหนังมนุษย์จึงไม่ได้แสดงท่า “หน้าไร้แววผู้คน” ออกมาเพียงบ่งบอกเคล็ดความเปลี่ยนแปลงให้ทราบ

จิวแป๊ะทงศึกษาคัมภีร์นพยมจนแตกฉาน ดังนั้น สามารถทำความเข้าใจกับกระบวนท่า “หน้าไร้แววผู้คน” ได้

ตรงกันข้ามกับกระบวนท่า “ซากศพที่เดินได้” และท่า “อับจนสิ้นหนทาง” กลับไม่เข้าใจ

แม้เอี้ยก่วยจะพยายามอธิบายทบทวนอยู่หลายเที่ยว แต่จิวแป๊ะทงก็ยังไม่เข้าใจในเคล็ดความสำคัญ

นั่นเนื่องจากพื้นฐานการดำรงอยู่แตกต่างกันระหว่างเอี้ยก่วยกับจิวแป๊ะทง

เมื่อพื้นฐานการดำรงอยู่และการเผชิญประสบแตกต่างกัน ความรับรู้และความเข้าใจต่อภาวะอับจนสิ้นหนทางกระทั่งกลายเป็นซากศพที่เดินได้จึงแตกต่างกันออกไปอีกด้วย

กระบวนการถ่ายทอดของเอี้ยก่วยจึงสำคัญ

 

เอี้ยก่วยพลันทอดถอนใจกล่าวว่า “ผู้อาวุโสแซ่จิว เมื่อ 15 ปีก่อนภรรยาเราแยกทางกับข้าพเจ้า ผู้เยาว์คิดถึงคะนึงหา ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวค่อยบัญญัติเพลงฝ่ามือชุดนี้ขึ้น ผู้อาวุโสไร้ห่วงกังวล ไร้ข้อผูกพัน สุขสำราญบานใจ

ย่อมไม่รับรู้ถึงรสชาติของความรุ่มร้อนใจดั่งไฟสุมนี้”

ได้ยินดังนั้นจิวแป๊ะทงอุทานดังถามขึ้นว่า “ฮูหยินเจ้าไฉนแยกทางกับเจ้า นางทั้งงดงาม ทั้งมีจิตใจดีเลิศ เจ้ารักมั่นคะนึงหา ความจริงไม่อาจโทษว่าได้”

เอี้ยก่วยไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องราวที่เซียวเล้งนึ่งถูกก๊วยพูซัดเข็มพิษทำร้าย

เพียงบอกโดยคร่าวๆ ว่า นางถูกพิษยากรักษา ได้รับการช่วยเหลือจากแม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้ ต้องอีก 16 ปีให้หลังจึงได้พบพาน ตนเองครุ่นคิดคำนึงถึงทั้งวันและคืน ตั้งจิตอธิษฐานให้นางกลับมาโดยปลอดภัย สุดท้ายกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเพียงหวังสามารถพบหน้านางอีกครั้ง มาตรว่าข้าพเจ้าต้องถูกฟันดาบรุมสับสังหารก็ยินยอมพร้อมใจ”

ก๊วยเซียงไม่ทราบว่า ความลึกล้ำของความคิดถึงกลับขมขื่นตราตรึงถึงเพียงนี้ อดหลั่งน้ำตาออกมา 2 สายมิได้ ยึดกุมมือเอี้ยก่วยไว้ กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า

“สวรรค์ต้องคุ้มครอง ดลบันดาลให้ท่านพบกับนางอีก”

นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่ได้ฟังคำปลอบประโลมอย่างจริงใจเช่นนี้ สร้างความสำนึกตื้นตันยิ่ง

 

ต้องยอมรับว่า เอี้ยก่วยเมื่อดำรงอยู่ในสถานะจอมยุทธ์เจ้าอินทรี เมื่อได้ยินคำปลอบประโลมจากก๊วยเซียงมิได้เป็นเอี้ยก่วยในกาลก่อนอันมากด้วยความคับแค้นในชะตากรรมตนเอง

บุญคุณของวาจาคำเดียว นับแต่นี้ไม่ลืมเลือน

ยามนั้นมันทอดถอนใจ ผุดลุกขึ้นยืน น้อมกายคารวะต่อผู้อาวุโส จิวแป๊ะทง พลางกล่าว “จิวเฮีย ขออำลา”

พลางชักชวนก๊วยเซียงเดินเคียงคู่ออกไป

เอี้ยก่วยตกผลึกความคิด ไฉนจิวแป๊ะทงจะไม่ตกผลึกความคิดเล่า