นงนุช สิงหเดชะ/’ทรัมป์’ ช่างกล้าพูด สื่อเป็น ‘ศัตรู’ ของชาวอเมริกัน

บทความพิเศษ / นงนุช สิงหเดชะ

 

‘ทรัมป์’ ช่างกล้าพูด

สื่อเป็น ‘ศัตรู’ ของชาวอเมริกัน

 

น่าเป็นห่วงชะตากรรมของโลกที่ประเทศประชาธิปไตยและมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีประธานาธิบดีที่ดูเหมือนคนป่วย เพราะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และคำพูดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศนี้

ที่น่าวิตกมากที่สุดก็คือทัศนคติของเขาเกี่ยวกับบทบาทของสื่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีความรู้เลยว่าหนึ่งในหัวใจสำคัญที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐคืออะไร

ความไม่รู้ของโดนัลด์ ทรัมป์ หรืออาจจะรู้แต่ต้องการทำลายเพราะขัดผลประโยชน์ตัวเอง ทำให้ทรัมป์เกลียดชังสื่อและถลำลึกไปไกลถึงขนาดใช้คำพูดที่ยากจะเชื่อว่าออกมาจากปากของผู้นำสหรัฐ นั่นก็คือ “สื่อเป็นศัตรูของชาวอเมริกัน”

นับตั้งแต่รับตำแหน่งมาเกือบ 2 ปี ทรัมป์เป็นไม้เบื่อไม้เมาและโจมตี ดิสเครดิตสื่อมาโดยตลอด ผ่านทั้งการปราศรัยต่อฐานเสียงและผ่านทวิตเตอร์

ที่ผ่านมาประโยคที่เขาใช้กล่าวหาสื่อบ่อยครั้งก็คือ fake news (ข่าวปลอม) ซึ่งค่ายที่เป็นเหยื่อของทรัมป์บ่อยครั้งคือ ซีเอ็นเอ็น และแน่นอนหนังสือพิมพ์เบอร์ใหญ่อย่างนิวยอร์กไทม์สและวอชิงตันโพสต์ ย่อมเลี่ยงไม่พ้น

คนภายนอกมองดูแล้วก็คิดว่าสื่ออเมริกันที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหอกเรื่องเสรีภาพในการคิด การพูด ช่างมีความอดทนต่อผู้นำตัวเองเสียเหลือเกิน ยอมถูกดิสเครดิตอยู่ทุกวัน ไม่เห็นจะมีการรวมตัวตอบโต้กลับอย่างเป็นเรื่องเป็นราวบ้าง

ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะส่วนใหญ่ทรัมป์มักระบุชื่อสื่อไปเลย ยังไม่ได้ถึงกับเหมารวม

แต่ล่าสุดกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ฟางเส้นสุดท้ายมาถึง เมื่อทรัมป์ล้ำเส้น ด้วยการพูดว่า “สื่อคือศัตรูของชาวอเมริกัน เป็นตัวอันตรายที่สุด” และ “สื่อคือพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งแย่มากๆ ต่อประเทศที่ยิ่งใหญ่ของเรา”

พร้อมกับขู่จะออกกฎหมายหมิ่นประมาทฉบับใหม่มาบังคับใช้

 

การพูดในลักษณะดิสเครดิตสื่อและกระตุ้นเร้าประชาชนให้เกลียดชัง ไม่เชื่อถือสื่อ ส่งผลให้หนังสือพิมพ์กว่า 300 ฉบับในอเมริกา รวมตัวกันออกบทบรรณาธิการตอบโต้ทรัมป์ ซึ่งแม้แต่หนังสือพิมพ์ที่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของทรัมป์ หรือที่เคยสนับสนุนทรัมป์ก็เข้าร่วมด้วย

“ไม่มีใครพอใจนักข่าวหรือสำนักข่าวตลอดเวลา แต่การเรียกสื่อมวลชนว่าศัตรูของคนทั้งประเทศนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย ทำลายล้าง ซึ่งต้องหยุดลงเดี๋ยวนี้” เป็นข้อความจาก The Tope Capital Journal ในแคนซัส

เนื้อหาของบทบรรณาธิการส่วนใหญ่ เป็นการอธิบายถึงบทบาทสื่อและย้ำว่าสื่อไม่ใช่ศัตรูของประชาชน ดังนั้น ขอให้ทรัมป์หยุดดูถูกดูแคลนสื่อที่มีความชอบธรรมได้แล้ว

“การโฆษณาชวนเชื่อของผู้นำด้วยท่าทีแบบนี้เป็นการชักจูงประชาชนและให้ข่าวสารแก่ประชาชนในทางที่ผิดเพียงเพื่อรับใช้จุดประสงค์ส่วนตัว” บทบรรณาธิการของ Duluth News Tribune ระบุ

มาร์จอรี พริตชาร์ด แห่งบอสตัน โกลบ ซึ่งเป็นผู้นำในการรวบรวมสื่อตอบโต้ทรัมป์ บอกว่า หวังว่าบทบรรณาธิการของพวกเราจะให้ความรู้แก่ผู้อ่านให้ตระหนักว่าการโจมตีเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

“พวกเราเป็นสื่อเสรีและมีอิสระ หนึ่งในหลักการศักดิ์สิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ”

 

ส่วนบทบรรณาธิการของนิวยอร์กไทม์ส มีความลุ่มลึก โดยระบุตอนหนึ่งว่า “การวิพากษ์วิจารณ์สื่อว่าเล่นข่าวนั้นน้อยเกินไปหรือมากเกินไป หรือบอกว่ารายงานผิดพลาดคลาดเคลื่อน เป็นสิ่งถูกต้องที่จะทำ…แต่การยืนกรานว่าความจริงที่คุณไม่ชอบใจเป็น ‘ข่าวปลอม’ นั้นเป็นอันตรายต่อโลหิตที่หล่อเลี้ยงชีวิตของประชาธิปไตย และการเรียกสื่อมวลชนว่าศัตรูของประชาชนนั้นเป็นยุคแห่งอันตราย”

ความหมายของนิวยอร์กไทม์ส คือสื่อนั้นสามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ จะโดยประชาชน โดยนักการเมืองหรือผู้นำประเทศก็ได้ทั้งนั้น แต่การที่ใครบางคนโจมตีสื่อเพราะไม่ชอบใจ “ความจริง” ที่สื่อตีแผ่ออกมา แล้วใส่ร้ายบิดเบือนว่าเป็น “ข่าวปลอม” เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย

สิ่งที่นิวยอร์กไทม์สกล่าวไว้ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะธรรมชาติของนักการเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์และไม่เคารพ ไม่ศรัทธาในประชาธิปไตย มักจะกลัวสื่อ โดยเฉพาะเมื่อถูกสื่อขุดคุ้ยตีแผ่การกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรม

ดังนั้น มีทางใดที่จะทำลายสื่อ หรือทำลายฝ่ายค้าน หรือฝ่ายใดก็ตามที่เป็นก้างขวางคอก็จะทำ

 

การที่สื่ออเมริกันจะวิจารณ์ทรัมป์มากเป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากสิ่งที่เขาทำส่วนใหญ่ขัดต่อค่านิยมหลักของอเมริกัน เพราะทรัมป์ไม่เคารพความหลากหลายด้านความคิด เพศ และเชื้อชาติ ใช้คำพูดที่กระตุ้นเร้าให้เกิดความเกลียดชังแตกแยกในสังคม

ไม่นับปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่เป็นข่าวอื้อฉาวจนนับครั้งไม่ถ้วน ไหนจะบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกับหลายประเทศทั่วโลก ไหนจะเห็นแก่ตัวถึงขั้นทำลายความน่าเชื่อของหน่วยข่าวกรองของตัวเอง อย่างเอฟบีไอและซีไอเอ ด้วยการพูดว่าเขาเชื่อคำพูดของวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย มากกว่าข้อมูลของหน่วยข่าวกรองที่ว่ารัสเซียไม่ได้แทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐเมื่อปลายปี 2559 (ที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง)

คำพูดนี้ของทรัมป์ เกิดขึ้นหลังจากเขาพบปะกับปูตินเป็นการส่วนตัวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกัน เพราะถือเป็นการไปญาติดีกับผู้นำของประเทศที่ได้ชื่อว่าแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐ แถมทรัมป์ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดที่คุยส่วนตัวกับปูติน

กระทั่งนักการเมืองและชาวอเมริกันบางส่วนด่าทรัมป์ว่าเป็นกบฏต่อชาติของตัวเอง

ประเด็นของรัสเซียที่ยืดเยื้อหลอกหลอนทรัมป์มาเกือบ 2 ปี และถูกสื่อเกาะติดอย่างต่อเนื่องทำให้ทรัมป์หงุดหงิดสื่อเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนเก้าอี้ของเขา และเรื่องรัสเซียไม่ใช่ “ข่าวปลอม” เพราะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐสรุปออกมาแล้วว่ารัสเซียแทรกแซงจริง

อีกทั้งทรัมป์ก็ยอมรับเองว่าช่วงก่อนเลือกตั้ง ลูกชายของเขาขอข้อมูลของคู่แข่งทางการเมือง (ซึ่งก็คือพรรคเดโมแครต) จากคนรัสเซีย แต่อ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ผิดกฎหมาย ใครๆ ก็ทำกัน

 

ทัศนคติของทรัมป์ที่มีต่อสื่อ น่าอึ้งและน่าตกใจ เพราะไม่ต่างจากผู้นำเผด็จการในหลายประเทศทั่วโลกที่สหรัฐประณามและกดดันให้เป็นประชาธิปไตย กดดันให้เคารพเสรีภาพสื่อและพลเมือง

แม้แต่ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยก็เกรงว่าคำพูดของทรัมป์ในลักษณะยั่วยุให้เกลียดชังสื่อ อาจกระตุ้นให้ประชาชนใช้กำลังและความรุนแรงกับสื่อ

ดังที่เกิดขึ้นกับสำนักงานหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น “แคปิตอล กาเซตต์” ในรัฐแมรีแลนด์ เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ ที่ชายวัย 38 ปี บุกยิงนักข่าวและบรรณาธิการเสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บอีกจำนวนมาก เพราะไม่พอใจการเสนอข่าวที่เป็น “ความจริง”

ชายผู้ก่อเหตุอ้างว่าโกรธแค้นที่หนังสือพิมพ์แห่งนี้หมิ่นประมาทเขาที่ลงข่าวว่าเขาคุกคามผู้หญิงคนหนึ่งทางเฟซบุ๊ก และมีคดีความฟ้องร้องกัน และท้ายที่สุดศาลตัดสินว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้หมิ่นประมาท แต่เสนอความจริงเพราะมีหลักฐานชัดเจนอันเชื่อได้ว่าเป็นเช่นนั้น

เหตุการณ์นี้ทำให้อเมริกาคล้ายจะเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ป่าเถื่อนที่สุดในโลก ไม่นับเหตุการณ์ที่ยิงกันตายเป็นเบือเกือบทุกสัปดาห์เป็นปกติอยู่แล้ว