กาละแมร์ พัชรศรี : ที่พึ่งของคนไทย

วัดกับคนไทยยังเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันจนทุกวันนี้ ไปวัดไม่ได้จะไปหาโบสถ์ อาราม กุฏิ แต่จะไปหาพระ ดังนั้น ชาวพุทธกับพระสงฆ์จึงเป็นสิ่งแยกกันไม่ออกเช่นเดียวกัน!

จริงๆ แล้วชาวพุทธเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าศาสนาพุทธนั้นดีอย่างไร ไม่อย่างนั้นคงไม่แห่กันเข้าวัด เห็นพระที่เป็นที่พึ่ง ไม่ว่าจะในวันที่เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ ไร้ที่พึ่ง เรารู้ว่า “วัด” น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเราได้

แต่ในช่วงเวลาที่เราตามืดบอด ใจปิด ไร้สติ เพราะมีความทุกข์ เสียใจ ผิดหวัง โกรธแค้น เข้าครอบงำ เราอาจจะไม่ได้ใช้ปัญญาแยกแยะว่า เวลาที่เราเข้าวัด ไปหาพระ

เราไปเพื่ออะไร

ในช่วงจิตอ่อน ใครบอกให้ทำอะไรเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น จิตใจสบายขึ้น เราก็คงทำหมด เพราะเราอยากหายจากทุกข์นี้ให้เร็วๆ อยากพลิกหน้ามือเป็นหลังมือไวๆ

เขาให้อาบน้ำมนต์ อมน้ำหมาก ลากไปนอนในโลง นั่งเฝ้าธูปกลางแดดเปรี้ยงๆ หรือถวายจ่ายเงินมากๆ เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นสูงขึ้น เราก็คงทำหมด

เพราะเรา “เชื่อ” ว่าเมื่อทำแล้วชีวิตเราต้องดีขึ้น ทุกข์ที่มีจะบรรเทา!

หรือบางทีเราเข้าไปเพื่อขอเครื่องรางของขลัง เพื่อพกไว้กับตัวเป็นกำลังใจ ขับรถให้แคล้วคลาด ใส่กระเป๋าตังค์ให้เรียกเงินเรียกทอง ใส่ในกระเป๋าเสื้อให้คนมีเมตตาปรานี แล้วเราก็ใส่ “ความเชื่อ” ของเราเข้าไป

เมื่อเราเชื่ออะไรสักอย่าง ศรัทธาอะไรสักอย่าง มันจะเกิดเป็นพลังให้ใจเราคิดไปตามนั้น มีพลังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเราพูดบ่อยๆ ซ้ำๆ กับตัวเอง

มันก็ฟังดูไม่ได้แย่อะไร แต่พระและวัดให้คุณได้มากกว่านั้น เพราะถ้าคุณเอาแค่นั้น คุณได้แค่เปลือกนอกไป คุณยังไม่ได้เอาปัญญาที่เป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนาไปเลย และเมื่อวันที่ทุกข์มาเยือนคุณอีก คุณก็จะเป็นอีก ด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย แล้วคุณก็จะกลายเป็นงมงายต่อสิ่งที่คุณเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด

คุณจะมีข้าวของที่ดีเด็ดจากอาจารย์ต่างๆ ที่ไปเสาะหามาทั่วประเทศ แต่สิ่งเดียวที่คุณยังไม่มีคือ “สติและปัญญา” ซึ่งจริงๆ แล้วคุณหาได้จากในวัดและจากพระนั่นแหละ เพียงแต่คุณมองข้ามและเข้าไปเอาแต่เปลือกนอกเท่านั้น

ฉันก็เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ก็เข้าวัดไปทำบุญ ทำทาน ถวายสังฆทานตามโอกาส

สิ่งที่ได้จากวัดคือรอพระพรมน้ำมนต์ให้ เสี่ยงเซียมซี บริจาคตามตู้ ถวายดอกไม้ กราบพระพุทธรูป ท่องคำสวดตามแผ่นที่วางไว้ข้างหน้า ปิดทอง ให้อาหารปลา และอ่านคำคมที่ติดตามต้นไม้ จบ!

ถ้าจะถวายเพลพระก็เลือกอาหารอร่อยๆ ที่เราอยากกิน เพราะเชื่อว่าบุญที่ทำจะส่งผลให้เราต่อไป

ฉันเคยไปถวายเพลที่วัดใหญ่กลางกรุง วันนั้นกับข้าวเรียงซ้อนกัน 3 ชั้นตลอดแนวยาวของโต๊ะ พระทั้งวัดฉัน 3 วันก็ไม่หมด เราชาวพุทธปรนเปรอพระสุดๆ เพราะนึกถึงตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง

ฉันจึงคิดว่าการไปวัดก็เพื่อประกอบพิธีกรรมแล้วเราก็ได้บุญ แค่นั้นพอ ประกอบกับการได้เห็นพระเถื่อนออกบิณฑบาตแบบเดินช้าสลับหยุดนิ่ง คือไม่ยอมไปไหน แล้วนัดแนะกับแม่ค้าที่ขายกับข้าวใส่บาตร เอาไปขายได้เป็นเงินกลับคืนมา

ก็เลยเสื่อมศรัทธาไปอีก

จนเมื่อได้มาอ่านหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี อ่านแล้วก็เข้าใจได้ รู้เรื่อง เห็นภาพ ปฏิบัติตามถูก ก็เลยเป็นแฟนหนังสือท่านเรื่อยมา

และหนังสือของท่านก็ทำให้ดวงตาเห็นธรรมและรอดจากความทุกข์ได้หลายต่อหลายครั้ง

และเมื่อได้ติดตามการปฏิบัติตนและชีวิตของท่านมาสักระยะ ทำให้ฉันศรัทธาและยกย่องท่านอยู่ในใจ

และคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตฉันต้องขอไปไร่เชิญตะวันที่ จ.เชียงราย เพื่อลองปฏิบัติธรรมสักครั้ง

ในวันที่ได้มีโอกาสพบท่าน ว. ที่กรุงเทพฯ ทำให้ฉันได้รู้ประวัติท่านเพิ่มอีกว่า ตอนที่ท่านจำวัดที่วัดเบญจมฯ ที่กรุงเทพฯ ท่านกำลังจะได้รับการเสนอให้มีตำแหน่งใหญ่โต

แต่ท่านรู้ว่าชีวิตท่านต้องไม่สงบแน่นอน ท่านก็ออกจากวัดมาแบบไม่บอกใครเพราะบอกไปท่านไม่ได้ออกมาแน่นอน

จนล่าสุดท่านเพิ่งได้กลับไปที่วัดเบญจมฯ และบอกพระผู้ใหญ่ว่าท่านขอลานะ จนท่านไปทำศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวันที่ จ.เชียงราย

ท่าน ว. รับกิจนิมนต์เพื่อไปเทศน์ตามที่ต่างๆ มากมาย ท่านอ่านหนังสือหลากหลาย เขียนหนังสือหลายสิบเล่ม ดูสื่อไทยเทศ อะไรที่วัยรุ่นสนใจท่านก็ศึกษา เพื่อเวลาเทศน์เวลาเขียนจะได้โดนใจและสื่อสารแบบเข้าไปถึงใจที่สุด

และในวันที่ฉันได้มีโอกาสไปไร่เชิญตะวัน ทำให้ฉันได้เห็นว่า ท่าน ว. ทำหน้าที่ของพระสงฆ์อย่างเต็มรูปแบบ วันนั้นมีคอร์สปฏิบัติธรรม ท่านก็นำสวดมนต์ เจริญสติ สอนวิปัสสนากรรมฐาน เทศนาธรรม ในขณะเดียวกันก็มีพระตัวแทนจากไทยและลาวมาอบรมเป็นพระธรรมทูตคัดเลือกไปเฝ้าองค์ทะไล ลามะ

ท่าน ว. ต้องการให้พระสงฆ์ นอกจากเก่งวิชาการ ธรรมะแล้วต้องเทศน์เป็น เผยแผ่ถูกและน่าสนใจด้วย ไม่เช่นนั้นพุทธศาสนิกชนก็เข้าไม่ถึง

ในวันนั้นท่าน ว. ให้ฉันได้มีโอกาสให้คำแนะนำเรื่องการพูดกับพระสงฆ์ด้วย ทำให้ฉันตระหนักเลยว่า พระนักปราชญ์อย่างท่าน ว. หายากเต็มที และรู้เลยว่ากว่าท่านจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

แล้วไหนจะมีญาติโยมมาขอพบ ท่านให้พบและให้แง่คิดธรรมะสอนใจไปด้วยเสมอ ไหนจะสอนนั่งสมาธิ เดินจงกรม นำทำวัตรเย็นอีก

แม้แต่ตอนฉันเพล ท่านก็ยังพร่ำสอนลูกศิษย์ไปด้วยเสมอ ฉันไม่เห็นท่าน ว. หยุดพูดเลย ไม่แปลกใจที่บางครั้งท่านจะเสียงแหบและต้องกระแอมเวลาพูดเสมอ แต่สิ่งที่ท่านพูดออกมานั้น คือคำสอน คือธรรมะ คือปัญญาที่จะทำให้เราตื่นและเบิกบาน ให้เราคิดได้ ให้เราหลุดพ้น

ท่าน ว. ไม่มีของขลังจะมอบให้ใคร เห็นมีแต่มอบหนังสือให้ไปอ่านกันพร้อมลายเซ็น ซึ่งนั่นคือของขวัญที่ขลังที่สุดคือท่านมอบปัญญาให้เรา ให้เราได้รู้จักไปคิด ไปเรียนรู้ แล้วเราจะได้เติบโตจากปัญญาที่เกิดขึ้น และเราก็จะเป็นคนที่ดีขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ

สิ่งที่ฉันจดจำขึ้นใจที่ท่าน ว. สอนก็คือ “ถ้าไม่เกิดปัญหาก็ไม่เกิดปัญญา จงขอบคุณอุปสรรคที่เข้ามาเพราะมันจะทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ วัน”

สิ่งที่ยอมก้มกราบคารวะและนับถือพระอาจารย์คือสิ่งที่อาจารย์ได้ทำต่อพุทธศาสนา ท่านได้นำคำสอนมาเผยแผ่ให้ชาวพุทธได้รับรู้และเข้าถึง ท่านเฝ้าพูดเฝ้าสอนเฝ้าเขียนเพื่อให้ธรรมะเข้าถึงจิตใจคนให้มากที่สุด

นี่ใช่ไหมคือหน้าที่ของพระสงฆ์ที่ควรทำ…