ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“เมื่อผมเป็นนายทหารเด็กๆ ผมถูกสอนว่าถ้าเรามีกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า มีกำลังทางบกที่เหนือกว่า และมีกำลังทางเรือที่เหนือกว่า เราชนะ แต่ในเวียดนาม เรามีกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า มีกำลังทางบกที่เหนือกว่า และมีกำลังทางเรือที่เหนือกว่า เราแพ้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องอธิบายมากกว่านั้น”
นาวาอากาศเอก John Boyd
นักยุทธศาสตร์ร่วมสมัยชาวอเมริกัน
กล่าวนำ
การจะปฏิรูปกองทัพให้สำเร็จได้นั้น เราอาจจะต้องเริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า “การปฏิรูปกองทัพคืออะไร?” เพราะการตอบคำถามเช่นนี้จะนำไปสู่การกำหนดนิยามใหม่อันจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันว่า “เราจะปฏิรูปอะไรกองทัพ”
และในขณะเดียวกันก็จะนำไปสู่ความชัดเจนว่าเราจะปฏิรูปไปในทิศทางใด
บทความนี้จะทดลองนำเสนอประเด็นที่อาจเป็นดัง “มายาคติ” ว่าการกระทำต่อไปนี้เป็นการปฏิรูปทหาร
ปัญหาและมายาคติการปฏิรูป
การปฏิรูปกองทัพการเมือง-การทหาร หมายถึง การพัฒนากองทัพในมิติต่างๆ หรือเป็นการสร้างกองทัพให้มีประสิทธิภาพในทางการยุทธ์ หรือการปฏิรูปทหารคือการทำให้กองทัพมีขีดความสามารถมากขึ้นเพื่อให้บรรลุภารกิจทางทหารที่ถูกกำหนดไว้
แต่ในหลายครั้ง เรามักจะสับสนระหว่าง “ความจริง” และ “ความเชื่อในแบบมายาคติ”
ซึ่งเห็นตัวอย่างจาก 4 สำนักคิดดังต่อไปนี้
(1)สำนักเทคโนโลยีนิยม : การปฏิรูปกองทัพคือการมีเทคโนโลยีทหารสมรรถนะสูง
การปฏิรูปกองทัพมักจะถูกนำเสนอในบริบทของการสร้างกองทัพให้เป็น “กองทัพไฮเทค” โดยมักจะมีพื้นฐานความคิดอยู่ตลอดเวลาว่า การทำให้กองทัพเป็นดังภาพยนตร์ “สตาร์วอร์ส” ที่การต่อสู้ล้วนแต่ดำเนินไปโดยอาศัยเทคโนโลยีทหารสมรรถนะสูงเป็นเครื่องมือจะเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ได้รับชัยชนะในสงคราม
แนวความคิดเช่นนี้มักจะนำไปสู่ความเชื่อพื้นฐานที่ว่า สงครามถูกชี้ขาดด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชื่นชอบแนวคิดเช่นนี้หรืออาจจะเรียกว่า “สำนักเทคโนโลยีนิยม” โดยอาจจะถือเอาตัวแบบจากยุทธการพายุทะเลทราย “Desert Storm Operation” ในปี 1991 เป็นตัวแบบว่าชัยชนะของกองทัพสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นจากความเหนือกว่าของเทคโนโลยีทหาร
ในอีกด้านหนึ่งแนวคิดนี้ถูกอธิบายภายใต้แนวคิดในเรื่องของ “การปฏิวัติในกิจการทหาร” (Revolution in Military Affairs หรือ RMA) ที่สร้างภาพให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีและอาวุธสมรรถนะสูงแบบต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในการยุทธ์ในปี 1991 จนปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นกลายเป็น “การปฏิวัติ” การสงครามในตัวเอง ซึ่งก็คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า นักคิดในสำนักนี้ยึดติดอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางเทคโนโลยีเป็นเงื่อนไขสำคัญ หรือถือว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยชี้ขาดการแพ้/ชนะในสงคราม
ดังเช่นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างให้เป็นคำขวัญเพื่อตอกย้ำทิศทางดังกล่าว ได้แก่ “หนึ่งลูก หนึ่งเป้าหมาย” (one bomb, one target)
ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกถึงขีดความสามารถของระเบิดสมัยใหม่ หรือ “ระเบิดฉลาด” (smart bombs)
และคงต้องยอมรับว่าระบบนำวิถีของอาวุธสมัยใหม่ทำให้อาวุธมีความ “ฉลาด” มากขึ้น (หรือกลายเป็น smart weapon)
ที่การทิ้งระเบิดทำลายเป้าหมาย 1 แห่งนั้น ไม่ได้ต้องการระเบิดจากเครื่องบินเป็นจำนวนมาก เหมือนในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี หรือสงครามเวียดนาม จนปรากฏการณ์ “หนึ่งลูก หนึ่งเป้าหมาย” กลายเป็นความเชื่อหลักว่าสงครามได้ถูกปฏิวัติแล้วจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทหารแต่เพียงปัจจัยเดียว
เราอาจจะพบในความเป็นจริงว่าเป้าหมายทางทหารไม่เคยถูกทำลายด้วยระเบิดเพียงลูกเดียวอย่างที่นักเทคโนโลยีนิยมนำเสนอแต่อย่างใด ด้วยความแข็งแกร่งของโครงสร้าง เช่น กรณีของสะพาน จะพบว่าในสงครามอ่าวเปอร์เซียอาจจะต้องใช้ระเบิดจากอากาศยานโดยเฉลี่ยสูงถึง 10 ตันเพื่อทำลายหนึ่งเป้าหมายดังกล่าว
ดังนั้น เราอาจจะพบในโลกแห่งความเป็นจริงของวิทยาการทหารว่า แม้เทคโนโลยีจะทำให้กองทัพมีความทันสมัย แต่เทคโนโลยีสมรรถนะสูงเพียงปัจจัยเดียวมิใช่เป็นเงื่อนไขของ “การปฏิบัติการสงคราม” และที่สำคัญเทคโนโลยีก็ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปกองทัพได้จริง
เราอาจจะต้องตระหนักว่าการปฏิวัติทางทหารจะเกิดขึ้นจริงได้ จะต้องมีบริบทของการสร้างนวัตกรรมทางความคิดในทางทหาร เช่น แบบแผนการยุทธ์ที่แตกต่างไปจากเดิมและมีลักษณะเป็นนวัตกรรม จนนำไปสู่ชัยชนะ
เพราะสงครามไม่อาจรบได้ด้วยเพียงการมีเทคโนโลยีทหารที่เหนือกว่า โดยขาดแนวคิดการยุทธ์ในสนามใหม่รองรับต่อการมีและใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
(2)สำนักงบประมาณนิยม : การปฏิรูปกองทัพคือการมีงบประมาณทหารมากขึ้น
สำหรับผู้ที่มองผ่านมิติด้านการเงิน ซึ่งอาจจะเรียกเป็น “สำนักงบประมาณนิยม” อาจจะมีแนวความคิดว่า การทำให้กองทัพได้รับงบประมาณมากขึ้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการปฏิรูปกองทัพ เพราะมีพื้นฐานความเชื่อง่ายๆ ว่า กองทัพที่มีงบประมาณมากย่อมชนะกองทัพที่มีงบประมาณน้อย
สมมติฐานเช่นนี้เป็นประเด็นที่ท้าทายอย่างยิ่ง หรือมีความเชื่ออย่างง่ายๆ ว่า การแสดงออกถึงเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลในการป้องกันประเทศ ก็คือการจัดสรรงบประมาณทหารเป็นจำนวนมากให้แก่กองทัพ
แต่หากพิจารณาในความเป็นจริง เราอาจจะพบว่า งบประมาณทหารไม่เป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณภาพของกำลังรบเสมอไป
และที่สำคัญปริมาณงบประมาณก็ไม่ได้มีนัยโดยตรงต่อการตัดสินผลของสงครามแต่อย่างใด
และหากมีงบประมาณมาก แต่ใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ก็ไม่เป็นผลบวก
ในประวัติศาสตร์สงคราม กองทัพที่ได้รับงบประมาณทหารน้อยอาจจะเป็นกองทัพที่มีคุณภาพ หรือในขณะเดียวกันกองทัพที่ได้รับงบประมาณทหารมากก็อาจเป็นกองทัพที่ไม่มีคุณภาพได้เช่นกัน เพราะถ้าเราคิดว่าการได้รับงบประมาณเป็นปัจจัยชี้ขาดคุณภาพของกองทัพแล้ว เราก็อาจพบความเป็นจริงที่ขัดแย้งกับสมมติฐานดังกล่าวได้ไม่ยากนัก
กล่าวคือ กองทัพที่รวยกว่าไม่จำเป็นต้องชนะสงครามเสมอไป เพราะถ้ายึดแนวคิดเช่นนี้ กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษน่าจะเป็นฝ่ายชนะในการยุทธ์ในปี พ.ศ.2483 (ค.ศ.1940)
เช่นเดียวกันกองทัพสหรัฐอเมริกาก็ต้องชนะสงครามเวียดนาม หรือกองทัพสหภาพโซเวียตก็ต้องชนะสงครามอัฟกานิสถาน แต่ผลกลับเป็นความพ่ายแพ้ของกองทัพของรัฐมหาอำนาจใหญ่ที่มีงบประมาณจำนวนมาก
ดังนั้น เราอาจจะต้องสร้างสมมติฐานใหม่ที่เป็นจริงว่า งบประมาณไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดถึงชัยชนะในการสงครามเสมอไป จนอาจจะต้องยกเลิกวิธีคิดแบบเก่าที่เชื่อว่าการปฏิรูปทหารคือการทำให้กองทัพได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็นจำนวนมาก และการมีงบประมาณจำนวนมากจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ชัยชนะ หรือการมีเงินมากไม่ได้หมายถึงการมีประสิทธิภาพมาก
สำหรับกองทัพในประเทศกำลังพัฒนา งบประมาณทหารจำนวนมากอาจจะกลายเป็นปัญหาของการคอร์รัปชั่น และอาจเป็นปัญหาความไม่โปร่งใสในกระบวนการใช้งบประมาณเช่นนี้
ดังนั้น การปฏิรูปทหารในบริบทนี้ จึงมีนัยโดยตรงถึงการทำให้องค์กรทหารมีความโปร่งใสและเป็นองค์กรที่สามารถตรวจสอบได้ (accountability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการใช้งบประมาณ ซึ่งแต่เดิมมักจะถือกันเป็นพื้นฐานเสมอว่า งบประมาณทหารเป็น “ความลับ” จึงไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบทางการเมือง
แต่ในสังคมประชาธิปไตย กิจกรรมของกองทัพเป็นประเด็นที่ถูกจัดให้อยู่ในกรอบของ “ธรรมาภิบาลความมั่นคง” (security governance) ที่จะต้องโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เช่น ในเรื่องของการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ การซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ เป็นต้น
(3)สำนักอาวุธนิยม : การปฏิรูปกองทัพคือการมีอาวุธสมัยใหม่ราคาแพง
สำนักคิดแนวนี้คล้ายกับสำนักเทคโนโลยีนิยม เพราะมีความเชื่อแต่เดิมเป็นพื้นฐานว่า ความสำเร็จของการปฏิรูปกองทัพคือการทำให้กองทัพมีอาวุธที่มีเทคโนโลยีสมรรถนะสูงและราคาแพงไว้ในประจำการ แต่หลายครั้งในสนามรบกลับพบว่า อาวุธที่มีราคาถูกกว่าอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าอาวุธราคาแพงก็ได้
ตัวอย่างของรถถังในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นกรณีศึกษาที่ดี ดังจะพบว่า รถถังของสหภาพโซเวียตแบบที-34 (T-34) ซึ่งถูกออกแบบง่ายๆ และมีราคาถูกนั้น กลับดีกว่ารถถังของเยอรมนีที่มีราคาสูง ไม่ว่าจะเป็นรถถังแบบแพนเซอร์ (Panzer) มาร์ก 3 หรือมาร์ก 4 ก็ตาม
หรือนักวิจารณ์บางคนประเมินว่า รถถังที-34 มีประสิทธิภาพมากกว่ารถถังหนักอย่างแพนเธอร์ (Panther) ของกองทัพเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความคล่องตัวในการดำเนินกลยุทธ์ในสนามรบ
ซึ่งต้องยอมรับว่าการออกแบบอย่างง่ายๆ และทำให้รถถังมีราคาถูกของผู้สร้างชาวรัสเซียนั้น มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการยุทธ์ และในขณะเดียวกันก็พบว่า รถถังหนักของเยอรมนีนั้น ราคาแพงและยุ่งยากเกินไปในการใช้และบำรุงรักษา
ในทางกลับกันอาวุธราคาแพงอาจหมายถึงความยุ่งยากและความสลับซับซ้อนในการใช้งาน และในทางเทคโนโลยีต้องตระหนักเสมอว่า ความยุ่งยากคือการไว้วางใจไม่ได้
และในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดปัญหาในกระบวนการผลิตและในกระบวนการใช้ไม่แตกต่างกัน
ฉะนั้น การปฏิรูปกองทัพจึงมิได้หมายถึงการทำให้กองทัพได้รับอาวุธสมรรถนะสูงราคาแพงเสมอไป
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันในกรณีนี้ก็คือ ในสงครามทางอากาศเหนือเลบานอนในปี 2525 นักบินอิสราเอลใช้เครื่องบินรบแบบเอฟ-15 และเอฟ-16 ของสหรัฐ ในขณะที่นักบินซีเรียใช้เครื่องมิกของโซเวียต
เราอาจจะสรุปได้ว่านักบินอิสราเอลชนะเพราะใช้เครื่องบินรบที่ดีกว่าและแพงกว่าของสหรัฐ ก็เป็นความจริงในด้านอาวุธ
แต่ผู้นำทางทหารของอิสราเอลเชื่อว่า ผลจากการฝึกอย่างหนักเพื่อสร้างประสิทธิภาพของนักบินอิสราเอลนั้น แม้พวกเขาจะบินด้วยเครื่องมิก และนักบินซีเรียบินด้วยเครื่องบินรบของอเมริกัน พวกเขาก็จะยังเป็นฝ่ายชนะไม่แตกต่างจากเดิม
ถ้าเรายอมรับสมมติฐานจากปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้แล้ว ก็อาจสรุปได้ในอีกด้านหนึ่งได้ว่า คุณภาพกำลังพลเป็นปัจจัยสำคัญและอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ชี้ขาดชัยชนะในสงคราม มากกว่าขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของระบบอาวุธ
ฉะนั้น การปฏิรูปกองทัพจึงมิใช่การทำให้กองทัพมีอาวุธราคาแพงเข้าประจำการ แต่เป็นการยกระดับขีดความสามารถของผู้ใช้อาวุธต่างหาก
(4)สำนักโครงสร้างนิยม : การจัดองค์กรทหารใหม่คือการปฏิรูปกองทัพในตัวเอง
สำนักโครงสร้างนิยมมองว่าการจัดองค์กรใหม่คือการปฏิรูปในตัวเอง ความเชื่อเช่นนี้อาจจะจริงและไม่จริงได้พอๆ กัน
ในความเป็นจริงการจัดองค์กรใหม่จะเป็นการปฏิรูปก็ต่อเมื่อการจัดที่เกิดขึ้นนั้น ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก หรือสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กรได้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การจัดองค์กรใหม่จะเป็นการปฏิรูปเมื่อมีผลให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการยุทธ์ หรือทำให้กองทัพลดการใช้งบประมาณลง แต่ยังคงขีดความสามารถทางทหารไว้ได้ในระดับเดิม
แต่จะต้องระมัดระวังไม่ให้การจัดองค์กรใหม่นำไปสู่การขยายตัวของระบบราชการทหารและ ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น หรือประสิทธิภาพขององค์กรทหารลดลง
ดังนั้น การจัดองค์กรใหม่จะต้องไม่ถูกทำให้เป็นเพียง “การจัดห้องทำงานใหม่” ที่ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพใดๆ ทั้งสิ้น และจะต้องไม่ทำให้การจัดองค์กรใหม่เป็นเพียง “การแต่งหน้า” ที่ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
การปฏิรูปจะต้องไม่ใช่ “cosmetic change”
และจะต้องไม่ทำให้การจัดเช่นนี้นำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจ และกลายเป็นการสร้างปัญหาซ้ำซ้อน จนทำให้การปฏิรูปทหารเป็นเพียงการขยายองค์กรและรวมศูนย์อำนาจ
ซึ่งในที่สุดก็จะนำไปสู่ความล้มเหลวของการปฏิรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้อควรคำนึง
สิ่งที่กล่าวในข้างต้นเป็นปัญหาสำคัญของการปฏิรูป นักปฏิรูปเองจะต้องไม่หลงทางและเข้าใจว่าการมีเทคโนโลยีสมรรถนะสูง การมีงบประมาณสูงขึ้น การมีอาวุธราคาแพง และการมีองค์กรใหม่เป็นการปฏิรูปทหารในตัวเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริงปัจจัยแต่ละส่วนทั้งสี่ประการในการปฏิรูปทหารคือ “มายาคติ” ที่เป็นปัจจัยแห่งความล้มเหลว มากกว่าจะเป็นเงื่อนไขของความสำเร็จในการปฏิรูปทหาร!