ในประเทศ / บุญมี แต่…(อะไร) บัง

ในประเทศ

 

บุญมี

แต่…(อะไร) บัง

 

รัฐบาลไทย ภายใต้การบริหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในสายตาโลก

ดูเหมือนมี “บุญ”

แต่ก็มี “กรรม” มาบังตลอด

จึงทำให้ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ยังไม่ผุดผ่องเสียที

ทั้งที่เป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่สหรัฐเปลี่ยนตัวผู้นำมาเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งไม่ได้วางน้ำหนักเรื่อง “ประชาธิปไตย” แต่มุ่งไปยังประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลัก

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกเชิญไป “ทำเนียบขาว”

และนำไปสู่การผ่อนคลายของประเทศต่างๆ ในการคบค้ากับไทย

โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่คัดค้านรัฐบาลจากการรัฐประหารมากที่สุด ได้โอนอ่อนผ่อนตามสหรัฐด้วย

ช่วง 20-26 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นนาทีทอง

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ไฟเขียวเดินทางไปเยือนอังกฤษ-ฝรั่งเศส

ท่ามกลางความคาดหวังอย่างสูงของ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล ว่าจะลดภาพลักษณ์ “รัฐบาลทหาร” ลง

และจะโกยคะแนนจากการจะไปยืนยันเรื่องการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

แต่แล้วก็มีกรรมมาบังจนได้

 

เมื่อมีการขโมยซีนจาก 2 พี่น้องคือ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไปจัดงานครบรอบวันเกิดปีที่ 51 ให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ในวันที่ 21 มิถุนายน ในกรุงลอนดอน

ซึ่งนอกจากจะแย่งพื้นที่ข่าวแล้ว

2 พี่น้องยังได้แสดงว่า “นักโทษหนีคดี” ยังเป็นที่ต้อนรับของอังกฤษด้วย ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลหรือผู้นำทหารเท่านั้น

ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จงใจจะให้กระทบกับการเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส ชัดเจน และได้ผลไม่น้อย

แต่ที่เหนือการคาดหมายยิ่งกว่า

เมื่อนิตยสารไทม์ ซึ่งแม้จะเป็นเวอร์ชั่น “เอเชีย” ได้นำ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นปก

ซึ่งแต่เดิมนั่นทีมงานในทำเนียบรัฐบาลเชื่อว่าการให้สัมภาษณ์ต่อนิตยสารระดับโลกดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ พล.อ.ประยุทธ์

แต่เอาเข้าจริง ไม่ใช่แค่การตีพิมพ์บทสัมภาษณ์เท่านั้น

หากแต่ได้มีการเขียนบทวิเคราะห์ถึงอนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย

ภาพที่ขึ้นปก ชวนให้เกิดคำถามในประเด็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ พร้อมบทวิเคราะห์ ที่กลายเป็นยาขมอีกหม้อหนึ่ง ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เปิดตัวต่อชาติยุโรป

ฉายา “สฤษดิ์น้อย” ที่ไทม์พาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นประเด็นร้อน

และยังไม่จบ แม้กระทั่งตอนนี้

 

โดยล่าสุด น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือเปิดผนึกชี้แจงนิตยสารไทม์

เกี่ยวกับบทความที่ไทม์ตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 2 กรกฎาคม เรื่อง “ผู้นำไทยสัญญาที่จะคืนประชาธิปไตย แต่กลับกระชับอำนาจ” ว่าเป็นบทความที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง

เพราะเขียนขึ้นอย่างไม่สมดุลและมีการบิดเบือนข้อมูล เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดไปกับบทสรุปที่เป็นเท็จต่อเนื้อหาและวิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์

และเขียนขึ้นจากความคิดที่มีอคติ เพื่อจะทำให้เป็นไปตามประเด็นที่มีการสรุปไว้ล่วงหน้า

ผู้เขียนได้เลือกที่จะหยิบข้อมูลเพียงบางส่วนในการสัมภาษณ์ที่สนับสนุนความคิดในเชิงต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับท่านนายกรัฐมนตรี

ซึ่งแสดงให้เห็นผ่านการนำเสนอถ้อยคำมากมายทั้งจากองค์กรเอกชนและฝ่ายต่างๆ ทางการเมืองที่เป็นลบ ทั้งที่ไม่สะท้อนความเห็นส่วนใหญ่ของคนในประเทศไทย

ขณะที่การวิเคราะห์ว่าไทยกำลังถอยหลังไปสู่การแปรสภาพเป็นเผด็จการอย่างถาวรเป็นการกล่าวหาที่เกินจริงอย่างเลวร้าย

มองข้ามการดำเนินการของไทยเพื่อนำพาประเทศไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนตามโรดแม็ปที่รัฐบาลได้ประกาศไว้

ตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศ ตัวเลขสถิติต่างๆ แสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมทำให้เกิดผลขึ้นได้จริง และยังมีการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกและมีความยากลำบาก อาทิ การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู)

ขณะที่การวางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่เครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ

การเรียก พล.อ.ประยุทธ์ว่า “สฤษดิ์น้อย” ก็ไม่เป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลายในประเทศไทยและเป็นเรื่องผิดประเด็น

เพราะผู้นำทั้งคู่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

และในความเป็นจริง คนไทยมักจะเรียกท่านนายกฯ ว่า “ลุงตู่” ซึ่งสะท้อนถึงบุคลิกภาพที่เข้าถึงได้และมีความตรงไปตรงมา

เพราะคำว่า “ลุง” เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกขานผู้ที่เป็นสมาชิกในครอบครัว

ฟังขึ้นหรือไม่ คงแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน

แต่ก็ตอกย้ำสถานการณ์ที่ดูเหมือนมี “บุญ” ของ พล.อ.ประยุทธ์

มี “กรรม”บัง โดยตลอด

 

และในห้วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็เกิดเหตุกรณีทีมหมูป่า 13 ชีวิตหายไปในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในวนอุทยานขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย

เป็นสถานการณ์ “ร้าย” และไม่เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน

นี่จึงเป็นเรื่องใหม่ และเรียกร้องความร่วมไม้ร่วมมือ ในการช่วย 13 ชีวิตอย่างเร่งด่วน

จากหน่วยกู้ภัยในพื้นที่

ขยายเป็นศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย (ศอร.)

โดยมีนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้บัญชาการศูนย์

เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่โลกจับตาไทย

แต่ด้วยการดำเนินการกู้ชีพอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระดมกำลังจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะหน่วยซีลของกองทัพเรือ มาเป็นหัวหอก ฝ่าอันตรายเข้าไปปฏิบัติการ

พร้อมการสนับสนุนจากทหาร ตำรวจ แพทย์ ข้าราชการ ประชาชน องค์กรต่างๆ อาสาสมัครกู้ชีพ จิตอาสา เข้ามาช่วย “ค้นหา”

จนก่อเป็นกระแสระดับชาติ และระดับโลก

ดึงเอาสื่อมวลชนแห่มาทำงานข่าวนับพันคน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพบทั้ง 13 คนมีชีวิต และรอการช่วยเหลืออยู่

กระแสยิ่งพุ่งสูง

กรณีหมูป่า กลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วโลกชั่วพริบตา

ดึงนักดำน้ำระดับชั้นนำของโลกจากหลายสิบประเทศเข้ามาร่วมดำเนินการ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีใหม่และทันสมัยในการดำน้ำในถ้ำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

จนกลายเป็นปฏิบัติการกู้ชีพในถ้ำระดับโลก

 

ในภาวะแห่งความเลวร้ายและลุ้นระทึกในการช่วยเหลือทั้ง 13 ชีวิตดังกล่าว

มิได้ก่อให้เกิดด้านลบแก่ไทยเท่าใดนัก

ตรงกันข้าม ได้ก่อให้เกิดภาพ “บวก” ของการร่วมไม้ร่วมมือของคนไทยในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นคู่ขนานออกไป ให้ต่างชาติสัมผัสด้วย

จนเกิดกระแส “ผนึกเป็นหนึ่งเดียว” ของไทยและของโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

วิกฤตกลายเป็นโอกาส สำหรับประเทศและคนไทย ในการที่จะบอกกับคนทั่วโลกให้รู้ว่า ในยามที่เราเผชิญโศกนาฏกรรม เราก็พร้อมจะเป็นหนึ่งเดียวในการแก้ปัญหา

พร้อมกับเปิดกว้างให้โลกเข้ามาเป็น “ทีมเดียวกัน” ด้วย

แม้แต่ขนาดองค์กรโลกบาลอย่างฟีฟ่า ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็นการเมืองโลก ยังทำหนังสือเชิญ 13 ทีมหมูป่าไปชมบอลโลกนัดชิงที่รัสเซีย ในฐานะแขกของฟีฟ่า

โดยนายจานนี อินฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้ส่งจดหมายมาเอง

ขณะที่ผู้นำ-คนดังของโลก ก็กระโดดเข้ามาร่วมกระแส

จนไทยอยู่ในโฟกัสของชาวโลก

นี่ย่อมถือเป็น “บุญ” ในท่ามกลางวิกฤตอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แต่กระนั้น

ก็ยังอุตส่าห์มี “กรรม” มาบังอีกจนได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พายุถล่มเรือนักท่องเที่ยว ล่มในทะเลภูเก็ตเมื่อเย็นวันที่ 5 กรกฎาคม ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตและสูญหายไปจำนวนมาก

ในเบื้องต้น เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 45 ราย สุญหายอีก 2 คน

นายหลิ่ว เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย สายด่วนถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีของไทย เรียกร้องให้ฝ่ายไทยเร่งดำเนินการปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือชาวจีนประสบอุบัติเหตุอย่างรอบคอบ

“รัฐบาลจีนให้ความสำคัญอย่างสูงกับอุบัติเหตุเรือพลิกคว่ำในจังหวัดภูเก็ต ขอให้ฝ่ายไทยเร่งทำงานแข่งกับเวลาและรีบระดมกองกำลังทั้งหมดเพื่อค้นหาและกู้ภัยพลเมืองจีนที่สูญหายอย่างสุดความสามารถ รวมทั้งดูแลนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ได้รับความช่วยเหลือ รักษาเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มที่ และดูแลครอบครัวผู้ประสบอุบัติเหตุทั้งหมดเป็นอย่างดี”

“หวังว่าฝ่ายไทยจะเร่งตรวจสอบสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และแจ้งให้ฝ่ายจีนทราบถึงความคืบหน้าของการค้นหาและกู้ภัยอย่างทันท่วงที”

ถือเป็นการเข้ามาเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

พล.อ.ประยุทธ์ออกมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งเดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บและญาติผู้สูญเสีย

ทำให้ความรู้สึกของ “จีน” ดีขึ้น

 

แต่กระนั้น ความรู้สึกดังกล่าวแปรเปลี่ยนไป เมื่อมีคำสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยแพร่ออกไปในทำนองว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพัวพันกับขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยจีนเข้ามาใช้นอมินีไทยในการทำธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งกำลังดำเนินคดีอยู่

พร้อมกับชี้ว่า เรือไม่เชื่อกรมอุตุฯ เราต้องแก้ไขกันไป เพราะว่าเราก็มีกฎหมายอยู่แล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วเราจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวจีนยังไง

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “นักท่องเที่ยวจีนเป็นคนทำนักท่องเที่ยวจีน จะไปเรียกความเชื่อมั่นยังไง เรื่องของนักท่องเที่ยวเขา เรื่องของเขา เขาทำเรือของเขาเอง เขาฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเรา แล้วจะให้เราไปเรียก (ความเชื่อมั่น) ยังไง ก็เป็นเรื่องของเขา”

ทันทีที่คำสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตรเผยแพร่ออกไป ทำให้ชาวจีนจำนวนมากไม่พอใจ ส่งต่อและแสดงความเห็นต่อคลิปดังกล่าวในวงกว้าง

จนทำให้ พล.อ.ประวิตรออกมาขอโทษว่า

“ไม่มีอะไรหรอก เป็นคนละเรื่องกัน การทำผิดก็เรื่องหนึ่ง การช่วยเหลือก็เรื่องหนึ่ง ถ้าผมพูดอะไรไม่พอใจก็ขอโทษ ซึ่งผมได้รับรายงานมาอย่างนั้นจริงๆ ขออย่านำมาปนกัน”

ไม่รู้ว่าจะเยียวยาจิตใจคนจีนได้ขนาดไหน

แต่ก็ถือเป็นประเด็นแหลมคม

ที่ด้านหนึ่ง ภาพของไทยที่ดีเยี่ยม ในกรณีถ้ำหลวง

แต่ก็มีเหตุอื่นมาแทรกจนได้

จากทั้งลมพายุ และลมปาก ของคนใหญ่โตในบ้านเมือง

ส่วนจะส่งผลสะเทือนต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนจีน ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจนี้เพียงไร ต้องติดตามต่อไป

แต่ก็ยืนยันและตอกย้ำว่า รัฐบาลนี้แม้จะมีบุญ

แต่มีกรรมมาบังทุกที!