การร้องเพลงชาติก่อนแข่งฟุตบอลโลกสำคัญเพียงใด?

พิศณุ นิลกลัด

บอลโลกปีนี้ มีการพลิกล็อกแบบโลกตกตะลึงหลายคู่

ทีมชาติเยอรมนี แชมป์บอลโลก ปี 2014 แพ้เกาหลีใต้ 2-0 ทำให้ไม่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย

ทีมชาติสเปน แชมป์บอลโลก ปี 2010 แพ้รัสเซียในการตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ สถาบันเก็บรวบรวมสถิติที่น่าเชื่อถือของโลกวิเคราะห์ให้สเปนและเยอรมนีเป็นสองทีมที่มีโอกาสสูงมากในการได้แชมป์บอลโลกครั้งนี้

จากการวิเคราะห์สถิติข้อมูลของศูนย์กลางการศึกษากีฬานานาชาติ (International Centre for Sports Studies : CIES) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทำนายว่าทีมชาติสเปนมีโอกาสสูงสุดที่จะได้ครองแชมป์บอลโลกครั้งนี้

ตามมาด้วยบราซิล ฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ

โดยศูนย์กลางการศึกษากีฬานานาชาติ ได้วิเคราะห์จากสถิติของผลงานนักเตะแต่ละคนในการแข่งขันระดับลีกในประเทศ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2017 รวมกับผลงานของสโมสรที่นักเตะคนนั้นๆ ลงแข่งขัน

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Technical University of Dortmund ได้ใช้ข้อมูลทางสถิติหลายด้าน ได้แก่ ผลงานการแข่งขันของทีมชาติที่ลงแข่งขันตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2014 จำนวนประชากรของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ตลอดจนสัญชาติของโค้ช และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ อีกมากมาย

แล้วทำนายผลออกมาว่า สเปนมีโอกาสได้แชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2018 สูงสุด ตามมาด้วยเยอรมนี

แต่มีข้อแม้ว่า หากเยอรมนีผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย โอกาสที่เยอรมนีได้แชมป์บอลโลก ปี 2018 จะสูงกว่าสเปน

แม้ทั้งสองสถาบันเก็บสถิติฟุตบอลมาวิเคราะห์อย่างละเอียด แต่ผลออกมากลับผิดพลาดสุดขีด

มีการวิเคราะห์ทายผลทีมชนะอีกอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ชมฟุตบอลทางโทรทัศน์ สามารถลองนำมาใช้ในการทายว่าทีมไหนจะชนะ

การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน European Journal of Sport Science บอกว่าเราอาจทำนายผลการแข่งขันฟุตบอลในแต่ละคู่ได้โดยสังเกตจากนักฟุตบอลในช่วงที่ยืนแถวร้องเพลงชาติก่อนแข่งขัน

งานศึกษาชิ้นนี้ทำการวิเคราะห์นักฟุตบอลในช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส

โดยศึกษาว่าแต่ละทีมมีความจริงจังและแสดงอารมณ์ร่วมออกมามากแค่ไหนในการร้องเพลงชาติก่อนเริ่มการแข่งขัน ทั้งการแสดงสีหน้า พลังในการร้อง และภาษากายที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมทีม เช่น ยืนกอดคอใกล้ชิดอย่างเหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือแค่สัมผัสตัวพอเป็นพิธี แล้ววิเคราะห์ว่าอารมณ์ร่วมระหว่างร้องเพลงชาติส่งผลอย่างไรกับการแข่งขัน

ผลการศึกษาพบว่าระดับความรักชาติที่แสดงออกมาระหว่างการร้องเพลงชาติของนักฟุตบอลในทีมคือตัวชี้วัดว่าทีมนั้นจะทำผลงานได้ดีหรือไม่ในการแข่งขันดังกล่าว

โดยทีมที่นักฟุตบอลแสดงพลังความรักชาติและเพื่อนร่วมทีมออกมาอย่างเต็มที่จะช่วยลดโอกาสที่ทีมจะเสียประตูให้คู่แข่ง แต่ไม่ได้ช่วยให้ยิงประตูได้เยอะขึ้น

ที่สำคัญคือ ในรอบน็อกเอาต์ ทีมที่จริงจังกับการร้องเพลงชาติ มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะนัดนั้น

ในฟุตบอลยูโร 2016 ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์และทีมชาติสเปน เป็นสองทีมที่แสดงพลังความรักชาติออกมาน้อยที่สุดเวลายืนแถวร้องเพลงชาติก่อนเกม ทั้งสองทีมจึงไปได้ไกลสุดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

ทีมชาติเวลส์และทีมชาติอิตาลีเป็นสองทีมที่แสดงพลังออกมามากที่สุดในช่วงร้องเพลงชาติก่อนเกม ทีมชาติอิตาลีสามารถเข้าไปได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้จุดโทษเยอรมนี ส่วนทีมชาติเวลส์แพ้ให้กับทีมชาติโปรตุเกสในรอบรองชนะเลิศ

ทีมชาติโปรตุเกสซึ่งชนะเจ้าภาพฝรั่งเศสในรอบชิงและได้แชมป์ยูโรเป็นสมัยแรก ก็เป็นทีมที่แสดงพลังความรักชาติและมุ่งมั่นออกมาชัดเจนในช่วงร้องเพลงชาติก่อนการแข่งขันทุกนัด

การร้องเพลงของนักฟุตบอลในทีมชาติเป็นตัวบ่งบอกระดับความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกคนในทีม

เป็นการประกาศกร้าวว่าพวกเราพร้อมจะต่อสู้เพื่อชาติ สร้างแรงกระตุ้นให้ทุกคนในทีมและข่มขวัญคู่แข่ง

แบบเดียวกับที่ “All Blacks” ทีมรักบี้ทีมชาตินิวซีแลนด์ใช้การเต้นฮาก้า (Haka) ข่มขวัญคู่แข่งก่อนเริ่มเกม

เมื่อฟุตบอลแข่งมาถึงรอบน็อกเอาต์ การเดิมพันก็สูงขึ้น

นักฟุตบอลต้องเจอกับความเครียดในเกมและความคาดหวังจากทุกคนในชาติ

ดังนั้น นักฟุตบอลทุกคนในทีมต้องร่วมแรงร่วมใจกันแสดงความทุ่มเทและจิตใจที่แข็งแกร่งเพื่อพาทีมไปให้ไกลที่สุด ซึ่งการร้องเพลงชาติก่อนเกมก็ช่วยสร้างพลังความฮึกเหิมให้นักฟุตบอลได้

เมื่อเป็นแบบนี้ หลายคนจึงเกิดความคิดว่าอย่างนั้นก็ให้โค้ชสั่งนักฟุตบอลทุกคนในทีมให้ช่วยกันร้องเพลงชาติอย่างเต็มเสียงซะเลยสิ เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสในการชนะคู่แข่ง

เป็นที่ทราบกันว่าทีมชาติอังกฤษยุครอย ฮอดจ์สัน (Roy Hodgson) เคยสั่งให้ลูกทีมทุกคนร้องเพลงชาติอย่างเต็มเสียงสมัยที่แข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล เพื่อแสดงความภาคภูมิใจที่ได้ติดทีมชาติอังกฤษ

ในทางทฤษฎี การสั่งให้นักฟุตบอลร้องเพลงชาติออกมาอย่างภาคภูมิใจก็อาจจะช่วยข่มขวัญคู่แข่งและสร้างกำลังใจได้ในระดับหนึ่ง

แต่ก็ต้องเข้าใจว่าจะมีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างการร้องโดยหน้าที่กับการร้องออกมาจากใจของกลุ่มนักฟุตบอลที่รักชาติจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าผลที่ได้รับออกมาย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทีมฟุตบอลที่ร้องเพลงชาติด้วยใจโดยไม่ต้องมีใครมาสั่ง ย่อมจะสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเพื่อนๆ ในทีม และทำผลงานออกมาได้ดีกว่าทีมที่ต้องมีคนมาบอกให้ร้องเพลงชาติอย่างสุดเสียงเพื่อจะข่มขวัญคู่แข่งและเพิ่มโอกาสในการชนะ