ฉัตรสุมาลย์ : ระลึกถึงท่านอาจารย์ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร

ย้อนไปสัก 20 ปีก่อน ผู้เขียนเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งนั้นนำเสนองานวิจัยเรื่องการค้นพบกบิลพัสดุ์ 2 ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ คนหนึ่งที่มาฟังการนำเสนอเรื่องกบิลพัสดุ์ คือท่าน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร

ผู้เขียนรู้สึกได้รับเกียรติมากที่ท่านสนใจมาฟัง นั่นเป็นการพบกันครั้งแรก ช่วงนั้นผู้เขียนเรียกท่านว่า ท่านรอง

ต่อมา เมื่อผู้เขียนจัดทัวร์ไปอินเดียเพื่อหาทุนสมทบให้คณะศิลปศาสตร์ ท่านรองก็สมัครไปด้วย ผู้เขียนตื่นเต้นอีกแล้ว ท่านได้ตั๋วการบินไทยบินไปรอคณะที่โรงแรมที่เราพักในกัลกัตตา

จากทัวร์ครั้งนั้น ท่านว่าท่านได้เรียนสวดมนต์บทพาหุงฯ เพราะเราสวดกันทุกเช้าเมื่อเริ่มออกเดินทาง

จากนั้น ท่านก็ไปอินเดียเอง และครั้งหนึ่ง ค.ศ.1998 เมื่อมีการจัดการอุปสมบทภิกษุณีที่พุทธคยา ก็ได้พบท่านที่วัดไทยพุทธคยา

คราวนั้น มีเหตุการณ์ที่สามเณรีชาวสเปนเสียชีวิตที่พุทธคยา และเผาศพที่นั่น ท่านสนับสนุนให้ผู้เขียนเขียนเรื่องนั้นมาลงในมติชนสุดสัปดาห์

 

เมื่อมารดาของผู้เขียนมรณภาพ (ท่านเป็นภิกษุณี) ท่านรองได้เมตตามาร่วมในงานสวดที่จัดที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี ร่วมกับคุณชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี

ครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่พบท่านหลังจากที่ออกบวชแล้ว ทุกครั้งที่ท่านพบท่านธัมมนันทาท่านจะนั่งลงกับพื้นและกราบ 3 ครั้ง ท่านธัมมนันทาจะรับแล้วถวายพระพุทธเจ้าเสมอ จะห้ามท่านอย่างไรก็ไม่ได้ ท่านจะทำเช่นนี้ทุกครั้งที่พบท่านธัมมนันทา

ครั้งสุดท้ายที่ท่านมาทำบุญที่วัตรทรงธรรมฯ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 ท่านก็ยังกราบ 3 ครั้งอย่างเดิม

เมื่อทราบว่าท่านป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ท่านธัมมนันทาอยากไปเยี่ยม แต่ท่านเหนื่อย ท่านธัมมนันทาก็รอจนท่านส่งข่าวมาว่าให้ไปเยี่ยมได้

ช่วงนี้ลูกศิษย์ที่เรียนสมาธิกับท่านจะเรียกท่านว่าท่านอาจารย์ ท่านธัมมนันทาก็เลยเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ ตามลูกศิษย์ของท่านไปด้วย

ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านอยู่ จ.ราชบุรี แวะมารับเพื่อเข้าไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลตำรวจ ท่านได้อยู่ตึกใหม่ ห้องคนไข้โอ่โถงทีเดียว มีห้องรับแขกอยู่ด้านนอก มีห้องเตรียมอาหาร ก่อนจะถึงห้องคนไข้ด้านใน

ช่วงนี้ได้พบคุณนัท ลูกสาวคนเดียวของท่าน นัยน์ตาเหมือนท่านอาจารย์ทีเดียว สักครู่ลูกชายท่านก็เข้ามา ถ้าไม่หันหน้ามาดู ได้ยินแต่เสียง จะนึกว่าท่านอาจารย์ ลูกชายได้เสียงคุณพ่อมาเต็มๆ

พอท่านพร้อม ลูกศิษย์ให้สัญญาณว่าเข้าไปเยี่ยมท่านได้

 

เมื่อเห็นท่านธัมมนันทา ท่านพนมมือพูดตลอด ท่านขอโทษว่า ทำให้พระลำบาก ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาหาท่าน

ช่วงนี้คุณหมอให้เลือด เพราะท่านซีดมาก เมื่อได้เลือด ท่านก็จะสดใสขึ้นเล็กน้อย พอมีแรงที่จะพูดได้

ท่านธัมมนันทาถามท่านว่า ที่ส่งกายโพธิสัตว์มาเยี่ยมท่านนั้น มาหรือเปล่า

ท่านอาจารย์ยิ้ม และตอบว่า “มา เอาสลากยามาให้ด้วย”

ท่านเล่าในรายละเอียดว่า ในสลากยานั้น เขียนว่า “ชิศรี”

ท่านธัมมนันทาก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร แต่บอกท่านว่าใช้เป็นองค์ภาวนาได้ กลับมาถึงวัตรแล้วจึงนึกออกว่า น่าจะเป็น “ชินศรี” คือพระพุทธเจ้า

ท่านธัมมนันทาคุยกับท่านเรื่องการย้ายจิต ว่า หากส่งจิตออกไปนอกกายได้ ก็ไม่ต้องรับรู้กับอาการปวดทางกาย มะเร็งตับขั้นสุดท้ายนั้นทำให้ท่านอาจารย์ปวดมาก จนหมอต้องให้มอร์ฟีนอ่อนๆ ช่วย แต่ด้วยการปฏิบัติของท่าน ท่านไม่ทุรนทุราย

มีสติกำกับกายตลอดเวลา

 

เราติดต่อกันทางไลน์ ท่านธัมมนันทาส่งจิตเข้าไปเยี่ยมทุกวัน ครั้งหนึ่ง ที่วัตรถวายกองทาน ท่านธัมมนันทาไลน์ไปเรียนท่านให้ส่งกายทิพย์มาถวาย ช่วง 10.30 น. สักแวบหนึ่ง ท่านตอบมาทางไลน์ วันที่ 4 มิถุนายน เวลา 21.39 น. ว่า

“นมัสการขอบคุณท่านอาจารย์ ตอน 10.30 น. กระผมหลับพอดี อาจจะมาอยู่ที่ท่านอาจารย์ก็ได้ ขออนุโมทนาครับผม”

ท่านธัมมนันทาส่งไลน์ไป และท่านได้อ่านทั้งวันที่ ๗ และวันที่ ๙ มิถุนายน แต่ไลน์วันสุดท้ายที่ส่งไป วันที่ ๑๒ ท่านไม่ได้อ่าน

หลังจากนั้น ผู้เขียนไปประชุมที่เนปาล แต่คอยตามข่าวท่านอยู่ตลอดเวลา

 

ที่เนปาล เช้าวันที่ 17 ท่านธัมมนันทาเห็นตัวเองเดินเล่นกับท่านอยู่ในสนามหญ้า อากาศดี ท่านธัมมนันทาใช้แขนซ้ายประคองแขนขวาของท่านอาจารย์ พูดคุยกันด้วยอารมณ์เบิกบาน เมื่อตื่นขึ้นมา คิดว่าท่านมาลา ท่านจากไปจริงๆ คืนวันที่ ๒๐ มิถุนายน

ในไลน์ที่ท่านอาจารย์ได้อ่านแล้วนั้น ท่านธัมมนันทาเรียนท่านไปว่า ช่วงที่จะเคลื่อนไปสู่ภพภูมิใหม่นั้น หากท่านอาจารย์สามารถละคลายปัจจัยต่างๆ ที่จะนำไปสู่ภพใหม่ได้ ท่านอาจารย์ก็จะหลุดพ้นทีเดียว เป็นเทคนิคของทิเบตที่จะมีอาจารย์ผู้ชำนาญนำทางให้จิตวิญญาณออกจากร่างในท้ายสุด

ท่านธัมมนันทาขอบคุณท่าน ที่เป็นปัจจัยให้ตัวท่านเองได้ฝึกสมาธิมากขึ้น หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติ การติดต่อก็จะเป็นการติดต่อฝ่ายเดียว สำหรับในกรณีนี้ ท่านธัมมนันทาดีใจมากว่าท่านอาจารย์สามารถรับข่าวสารได้

เป็นการยืนยันเป็นครั้งแรกในการฝึกทางจิตของท่าน

 

การละสังขารของท่านอาจารย์เป็นไปอย่างทรงเกียรติ สมกับที่ท่านเป็นอาจารย์ผู้นำลูกศิษย์ในการปฏิบัติอย่างแท้จริง

ท่านรับทราบว่า อายุสังขารมาถึง 88 ปีแล้ว พอสมควรแก่การใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและสาระเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ส่วนการเจ็บป่วยนั้น ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ฝืนสังขาร ไม่ทรมานตนและครอบครัวโดยความพยายามที่จะยื้อชีวิตไว้ เมื่อชัดเจนว่า ที่สุดของชีวิตก็เป็นเช่นนี้

เป็นการสอนธรรมะแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่านอย่างดีที่สุด ทำให้ระลึกถึงเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานที่ใต้ต้นสาละคู่ที่เมืองกุสินารานั้น พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมะให้ปรากฏด้วยชีวิตของพระองค์เองเช่นกัน โดยเตือนลูกศิษย์ว่า อย่าประมาท ให้เร่งเพียรปฏิบัติเถิด

ผู้เขียนระลึกถึงท่านอาจารย์วสิษฐครั้งใด ก็เห็นในธรรมะที่ท่านสอนด้วยชีวิตของท่านเอง

ขอกราบคารวะ