ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
เมื่อสามมิตร 3 ส. ซบ ‘3 ป.’
กลางกระแส ‘ถ้ำหลวง’
จากฮีโร่ ‘ป๊อก-มหาดไทย’
ถึงกู้คืนศรัทธา ‘หน่วยซีล’
เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ เยียวยาคนอกหัก
กรณี “ทีมหมูป่า อะคาเดมี” ติดถ้ำหลวง เชียงราย สะท้อนความโชคดีของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล คสช. ที่สามารถค้นหาเจอและยังคงปลอดภัย
จนทำให้เกิดกระแสชื่นชมกองทัพ ทหาร และโดยเฉพาะหน่วยซีลของกองทัพเรือ ที่แม้ว่าจะเป็นนักดำน้ำชาวอังกฤษที่ไปเจอน้องๆ เป็นคนแรก หาใช่หน่วยซีลไม่ก็ตาม
แต่ทั้งหมดก็เป็นไปตามการวางแผน และความพยายามของหน่วยซีลในการดำน้ำเข้ามาจนถึงปลายทาง “หาดพัทยา” ในถ้ำหลวง แต่นักดำน้ำอังกฤษมีประสบการณ์ดำน้ำในถ้ำมากกว่า และอุปกรณ์ที่ดำน้ำได้นานกว่า จึงไปถึงตัวเด็กๆ ได้ก่อน
การระดมกำลังทหารทุกเหล่าทัพที่มาทำงานกันทั้งวันทั้งคืน และภาพต่างๆ ที่ปรากฏออกมา ส่งผลให้คำพูดที่ว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ได้รับคำตอบที่ชัดเจนท่วมท้น รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพจัดซื้อจัดหามานั้น ล้วนได้ใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น
กล่าวกันว่า นี่เป็นความโชคดีของรัฐบาล คสช. ที่ไม่ได้เกิดความสูญเสียในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลา กว่าที่จะนำน้องๆ ออกมาได้ก็ตาม
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี หลังมีข่าวดีที่ถ้ำหลวง
“ทุกอย่างอยู่ที่แรงศรัทธา ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเขาจะปลอดภัย เขาก็ต้องปลอดภัย เชื่อมั่นว่าคนของเราจะช่วยเขาได้ มันก็ต้องได้สิ” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
ไม่แค่นั้น กรณี “ถ้ำหลวง” นี้ยังทำให้บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้แสดงความสามารถในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ที่บัญชาการการแก้วิกฤตที่ถ้ำหลวงครั้งนี้
โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ตามภาษาทหาร โดยมีทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน เอกชน มาร่วมด้วย
พล.อ.อนุพงษ์ทำทั้งการแถลงข่าวชี้แจงทั้งในกรุงเทพฯ และในพื้นที่ที่เชียงราย ที่ทำให้ประชาชนเห็นภาพตามอย่างเข้าใจ รวมทั้งการสวมเสื้อเหลืองและชุดจิตอาสาฯ ไปร่วมช่วยแก้ปัญหาที่ถ้ำหลวง พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย
กล่าวกันว่า พล.อ.อนุพงษ์เป็นผู้วางแผนในเรื่องการจัดการน้ำที่ถ้ำหลวง ทั้งการสูบน้ำออก การเปลี่ยนทิศทางน้ำ การเจาะเพื่อระบายน้ำ รวมถึงการไฟเขียวให้ รมว.การท่องเที่ยวฯ ติดต่อนักดำน้ำระดับโลกชาวอังกฤษมาช่วยตามหาน้องๆ จนกลายเป็นนักดำน้ำชุดแรกที่เจอตัวทีมน้องๆ หมูป่า
จึงไม่แปลกที่ข่าวดีที่ถ้ำหลวง ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ดูแฮปปี้มาก
ขณะที่บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่ ที่สั่งกองทัพและตำรวจระดมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ช่วยอย่างเต็มที่นั้น ก็ถึงขั้นนอนไม่หลับ จากที่เคยต้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นตี 4 นั้น
“ดีใจเหมือนคนไทยทุกคนนะ เพราะเอาใจช่วยตลอด” พล.อ.ประวิตรระบุ
จนร่ำลือกันว่า งานนี้บิ๊กๆ ในรัฐบาลหลายคนถึงขั้นบนบานศาลกล่าว เพื่อให้หน่วยซีลหาตัวทีมหมูป่าได้พบและปลอดภัยเลยทีเดียว
เหมาะเจาะกับจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์จะนำ ครม.สัญจรลงพื้นที่ที่เชียงรายและพะเยา 23-24 กรกฎาคมนี้ หลังจากค้นพบทีมหมูป่า และนายกฯ สัญญาว่าจะพาไปเที่ยวหาดพัทยาของจริง
ท่ามกลางความสนใจที่พุ่งไปที่ถ้ำหลวง ความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะการเปิดตัวเดินแรงของ “กลุ่มสามมิตร” หรือกลุ่ม 3 ส. ทั้ง ส.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน และ ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ถูกจับตามองว่ากำลังดูดอดีต ส.ส. ของพรรคต่างๆ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เข้าพรรคพลังประชารัฐ พรรคทหาร หรือพรรค คสช.
จนทำให้ถูกจับตามองว่า กลุ่มสามมิตร 3 ส. นั้น ถูกพรรคเพื่อไทยร้อง กกต. ถึงการขัดคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 และร้อง คสช. ที่ลำเอียงเข้าข้าง ไม่ดำเนินคดีกับคนเหล่านี้
“ลำเอียงตรงไหน พรรคพลังประชารัฐเขายังไม่ได้ตั้งพรรคเลย แล้วจะไปเอาผิดเขายังไง พรรคเพิ่งตั้ง ยังไม่มีหาเสียงอะไรเลย” พล.อ.ประวิตรกล่าว
รวมทั้งยังประสานเสียง พล.อ.ประยุทธ์ในการปกป้องพรรคพลังประชารัฐเช่นกันว่า
“พรรคนี้ผมไม่รู้จัก ใครเป็นคนจัดตั้ง” บิ๊กป้อมกล่าว และยืนยันว่าไม่รู้จักนายสุริยะ
โดยเฉพาะการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ รมต.ในรัฐบาล คสช. ถูกพาดพิงว่าอยู่ในกลุ่มสามมิตร และมีส่วนในการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ หนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ด้วย
“พูดคุยกันได้ ผมเจอนักการเมืองผมก็คุยได้ ผมผิดตรงไหน ผมคุยกับทุกพรรค ใครอาวุโส ผมก็ยกมือไหว้ เจออดีตนายกฯ ผมก็ยกมือไหว้ ต้องให้เกียรติกัน อีกทั้งพรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่ได้คลอดออกมา มีแต่ชื่อเท่านั้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
จึงไม่แปลกที่จะมีคนพบเห็น พล.อ.ประวิตรไปรับประทานอาหารที่โรงแรมดังแถวซอยรางน้ำ แต่ทว่าไม่ยอมบอกว่าไปทานข้าวกับใคร แต่ก็ถูกเม้าธ์กัน
รวมทั้งมีนายทหารที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องรักของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ก็เดินสายไปพบปะนักการเมืองอยู่หลายกลุ่ม
อาจกล่าวได้ว่า พรรค คสช. ประสบความสำเร็จในการดูดอดีต ส.ส. เข้าพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตร หรือ 3 ส. ที่กำลังย้ายขั้วมาซบอก “3 ป.” บูรพาพยัคฆ์ อันเลื่องชื่อและเปี่ยมอำนาจ
ด้วยนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ไฟเขียวให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังการเลือกตั้ง โดยมีกลไกต่างๆ ถูกวางไว้รองรับหมดแล้ว
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประวิตรมักจะจงใจแสดงออกว่าไม่รู้จักพรรคพลังประชารัฐ ใครก่อตั้ง อยู่ที่ไหน ทำอะไร ทั้งนี้เพื่อที่ตัดภาพพจน์ตัวเองออกจากพรรคพลังประชารัฐ
นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง นอกจากจะเป็นสมรภูมิสร้างผลงานและคะแนนนิยมของตำรวจสีกากี ระหว่างบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และบิ๊กปู พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ที่ต่างได้ดอกไม้และก้อนอิฐแล้ว
ในส่วนของกองทัพ พล.อ.ประวิตรมอบหมายให้ ผบ.เหล่าทัพ ลงพื้นที่กันพร้อมหน้า ทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ., ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ เพื่อให้กำลังใจลูกน้อง รวมทั้งบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังต้องไปถึงถ้ำหลวงด้วยตนเอง
แต่ที่น่าจับตามองคือ งานนี้ บิ๊กตุ๋ย พล.ร.อ.พิเชฐ ตานะเศรษฐ เสธ.ทร. แคนดิเดต ผบ.ทร.คนใหม่ที่กำลังมาแรง สร้างผลงานชิงโค้งสุดท้ายนั้น ได้มาแทนบิ๊กนุ้ย พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผบ.ทร. ที่เคยลงพื้นที่มาแล้ว โดยมาในวันที่มีข่าวดี ที่เจ้าหน้าที่ค้นพบน้องๆ ทีมหมูป่าพอดี
แต่ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ คือ ครั้งนี้เป็นการเรียกคืนศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมาของหน่วยซีล หรือหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) เพราะมีแรงใจจากประชาชนทั้งประเทศ
จนทำให้เพจ Thai Navy Seal มีคนติดตามสูงขึ้นรวดเร็ว จาก 2 แสนคนเป็นราวล้านคน
แต่ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้าการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้น ภาพพจน์ของหน่วยซีลถูกตั้งข้อสงสัยว่าใกล้ชิดกับกลุ่มมวลชน รวมทั้งเคยตกเป็นข่าวถูกส่งไปช่วยคนเสื้อเหลือง หรือ กปปส. ต่อสู้กับคนเสื้อแดง และถูกตำรวจจับกุมหลายคน
จากยุค พล.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ที่มีประชาชนขั้วสีหนึ่งสนับสนุน มาสู่ยุคบิ๊กน้อย พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว ผบ.หน่วยซีล ที่เรียกความชื่นชมศรัทธาในหน่วยซีลกลับมาอย่างท่วมท้น จากประชาชนทุกฝ่าย
ขณะที่บรรดาอดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีใน ครม.ประยุทธ์ ที่หลุดเก้าอี้ไปนั้น กลับมีการรวมตัวกันภายใต้การนำของบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ในฐานะประธานคณะกรรมการที่ปรึกษานายกฯ ที่จะประชุมกันเดือนละ 1 ครั้งที่บ้านเกษะโกมล
โดยจะมีทั้งบิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีตรองนายกฯ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต รมช.กลาโหม รวมทั้งนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีต รมว.การท่องเที่ยวฯ
พล.อ.ธนะศักดิ์ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 12 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราจะช่วยกันพิจารณาหาทางแก้ปัญหา และข้อเสนอแนะในเรื่องต่างๆ ทุกด้าน รวมทั้งกองทัพ เพื่อนำเสนอต่อนายกฯ
ที่สำคัญ ที่ทำให้คณะกรรมการชุดนี้มีคุณค่า คือการที่นายกฯ รับทราบรายงาน และได้นำไปสั่งการให้กระทรวงต่างๆ และเมื่อสั่งการแล้ว ให้กระทรวงนั้นๆ ทำรายงานให้คณะกรรมการด้วย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เช่น เรื่องการบริหารจัดการขยะ การกำจัดผักตบชวา
กระนั้น การแต่งตั้งอดีตรัฐมนตรีที่อกหักหลุด ครม. มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ นั้น ก็เพื่อสยบข่าวลือ หรือการถูกจับตามองว่าเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น
โดยเฉพาะ พล.อ.ธนะศักดิ์ และ พล.ร.อ.ณรงค์ ที่หลุดเก้าอี้รองนายกฯ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหลือแต่ตำแหน่งรองหัวหน้า คสช. จนเคยมีข่าว พล.ร.อ.ณรงค์เกือบถอดใจลาออกมาแล้ว เพราะถูกปลดออกจาก ครม. โดยรู้ตัวล่วงหน้าแค่วันเดียว ทั้งๆ ที่ทำงานเต็มที่มาตลอด ตั้งแต่ตอนเป็น ผบ.ทร. ก่อนการรัฐประหาร
นี่จึงเป็นการกลบลบรอยปริร้าวใน คสช. ได้อีกหนทางหนึ่ง แม้ในหัวใจของ รมต. ที่หลุด ครม. หลายคน อาจจะยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมถึงหลุด ครม.
เพื่อที่จะรักษาความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวของ คสช. ต่อไป ในยามที่ต้องจับมือกันสู้ศึกเลือกตั้ง ที่จะเป็นการเดิมพันอนาคต คสช. รวมทั้งอนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์เลยทีเดียว