ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ตุลาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกหมุนเร็ว |
เผยแพร่ |
ภาพของทุ่งนาที่มีรวงข้าวตั้งท้องเขียวขจี มีป่าบนภูเขาที่มีต้นไม้หนาแน่นเป็นฉากหลัง ใครเห็นก็ต้องว่าสวยงามนัก มันคือความอุดมสมบูรณ์ คือธัญญาหารที่มีอยู่อย่างพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านที่ตำบลบ่อเกลือ จังหวัดน่าน
ไม่ใช่เรื่องของการปลูกข้าวเพื่อนำไปขายโรงสี ไม่ใช่ข้าวที่ส่งให้คนในกรุงบริโภค หรือเพื่อการส่งออกอย่างที่คนในเมืองกรุงรู้กัน
บ่อเกลือที่สวยงามและสงบสุข เป็นแผ่นดินบนที่สูง บ่อเกลือที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแดนกันชนระหว่างคนของรัฐและผู้ก่อการร้ายในป่าจังหวัดน่าน คนที่นี่รับรู้เรื่องราวของการยิงต่อสู้กันระหว่างยอดเขาหนึ่งไปยังอีกยอดหนึ่ง นานๆ ก็ตกใจกับเสียงระเบิดตูมที่หล่นลงมากลางหมู่บ้านจากการตั้งพิกัดไม่แม่นยำ เมื่อเสียงระเบิดหมดไปก็อยู่กันอย่างสงบเหมือนเดิม
แต่ดั้งเดิมมา ชาวบ่อเกลือมีเกลือที่ธรรมชาติประทานมาให้เป็นทรัพยากรใต้ผืนดิน แต่ก็ต้องเหนื่อยยากตักน้ำที่มีเกลือขึ้นมาต้มจนตกผลึกวันละหลายเที่ยว เพื่อนำไปแลกกับอาหารกับคนกลุ่มอื่นๆ ในสมัยก่อนโน้นคนบ่อเกลือไม่ใช้เงิน แต่ใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
คนบ่อเกลือต้มเกลือ คนที่ลุ่มปลูกข้าว คนในป่าที่เป็นชาติพันธุ์ชาวเขาปลูกพืชไร่ชนิดอื่นๆ เอามาแลกเปลี่ยนพึ่งพากัน
คนบ่อเกลือทำนาไม่ค่อยได้ผล จึงไม่มีข้าวพอกิน
ถามว่าทำไมจึงทำนาไม่ได้ผล คำตอบคือพันธุ์ข้าวไม่ดี ส่วนน้ำไม่เป็นปัญหา
นั่นเป็นเป็นช่วงปี 2508 คือห้าสิบปีมาแล้ว
ต่อมาพวกที่อยู่ที่ลุ่มที่เคยค้าขายกันนำพันธุ์ข้าวดีๆ มาให้ ผลผลิตมีมากขึ้น ก็จึงพอกิน หลังจากนั้นเกษตรฯ คือราชการก็นำข้าวพันธุ์เชียงรายมาให้ ก็ทำนาได้ผล พอมีเงินเก็บ ชีวิตก็ดีขึ้น
ชีวิตที่ดีก็คือมีที่ดินที่เป็น “แผ่นดินของเรา” อย่างเต็มภาคภูมิ คือมีโฉนดเป็นของตนเอง จากรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น หรือจากที่ลูกหลานที่ไปทำงานในเมืองเจือจุน
ชาวบ่อเกลือรู้จักนำต้นไผ่ที่มีอยู่มากมายมาใช้สอยดัดแปลงเป็นสิ่งก่อสร้าง พอใจที่จะใช้สอยโดยไม่ต้องนำไปค้าขาย
น่านเป็นชุมชนโบราณที่มีคนหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ บนที่ลุ่มเป็นคนเมืองที่สืบเชื้อสายมาจากชาวน่านโบราณ ส่วนตามเขาสูงเป็นที่อยู่ของชนเผ่าลัวะ ม้ง เย้า ที่เพิ่งจะได้ทำบัตรประชาชนเมื่อไม่นานมานี้ มีแม้กระทั่งมลาบรี หรือที่เรียกกันว่าผีตองเหลือง
ด้วยความที่น่านมีพื้นที่ราบเฉพาะบริเวณสองฝั่งแม่น้ำน่าน ประมาณ 20% นอกนั้นเป็นป่าซึ่งกรมป่าไม้กำหนดให้เป็นป่าสงวนมีประมาณ 80% ชนเผ่าทั้งหลายซึ่งเคยชินกับการอยู่บนที่สูงจึงอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนฯ เหล่านี้ อันที่จริงเขาอยู่มาก่อนโดยไม่มีหนังสือที่แสดงความเป็นเจ้าของ แล้วต่อมาราชการก็ประกาศว่านี่คือเขตป่าสงวนฯ
ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มี “แผ่นดินของเรา” มีแต่ “แผ่นดินของเขา”
พวกชนเผ่าที่อยู่บนเขาทำกสิกรรม
วิธีทำกสิกรรมของเขาที่ทางราชการบอกว่า “ทำไร่เลื่อนลอย” ย้ายจากแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาต่อระบบนิเวศคือต้องถางป่าไปเรื่อย แต่อันที่จริงเมื่อมองลึกลงไปแล้ว เป็นการพูดแบบคลุมไปทั้งหมด ความเป็นจริงเป็นอีกแบบ
ชาวบ้านบ่อเกลือซึ่งเป็นคนรักสงบและเป็นมิตรกับเพื่อนชนเผ่า เรียกชนเผ่าว่า “เสี่ยว” ซึ่งแปลว่า “เพื่อน” ได้เล่าถึงเพื่อนของเขาซึ่งเป็นลัวะว่า การทำนาข้าวไร่ของลัวะนั้นไม่มีการเผาหญ้า ไม่เสียป่า เขาจะปลูกข้าวบนเชิงเขาซึ่งมีน้ำไหลตลอดเวลา เวลาที่มีหญ้าขึ้นแซมก็จะเด็ดหญ้าออกเท่าที่จำเป็น ไม่ใช้วิธีขุดแบบถอนรากถอนโคน เมื่อเก็บข้าวแล้วก็ย้ายที่ไปทำที่อื่น ปล่อยให้ที่เดิมฟื้นตัวแล้วย้อนกลับมาทำใหม่ในเวลา 3 ปี
ลัวะจะคอยดับไฟเมื่อมีใครเผาไฟลามมาถึงเขตของเขา
เขาจะปลูกไม้ใหญ่เอาไว้ คอยริดใบ และปล่อยให้ลำต้นโต พอ 3 ปีต้นก็โตเท่าขา นำไปใช้สอยได้
ชาวลัวะรู้จักวิธีรักษาระบบนิเวศก่อนที่ราชการจะมาสอน ที่เพาะปลูกจะอยู่ห่างลำห้วย 500 เมตร เขาจะทำไร่รอบนาข้าว และคอยระวังไม่ให้ไฟไหม้
ชาวลัวะมีผู้นำที่มีภูมิปัญญาเลิศที่รู้จักกันว่าชื่อดวง และลูกหลานลัวะก็จะจำสิ่งที่ผู้นำสั่งสอนไว้
ม้งก็ปลูกข้าวไร่เช่นกัน ข้าวไร่ของม้งเป็นข้าวเหนียวชั้นดีไม่มีเมล็ดแดงผสม กินอร่อย ม้งเลี้ยงวัวควายไว้ขายด้วย
ฟังที่คนเฒ่าคนแก่ชาวบ่อเกลือเล่าแล้ว ก็มองเห็นภาพว่าชนเผ่าต่างๆ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้บุกรุก เขาอยู่กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อันที่จริงเขามีเงินมีทองที่จะซื้อที่ทางบนที่ลุ่มได้
แต่นั่นไม่ใช่วิถีชีวิตของเขา
เขาจึงยังคงใช้ชีวิตที่สูงที่อยู่ในเขตป่าสงวนฯ ที่ไม่มีโฉนด บางแห่งเป็นที่ ส.ป.ก. เขาจึงได้ชื่อว่าเร่ร่อน และไม่มี “แผ่นดินของเรา”
มีใครก็ไม่รู้บอกว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ได้ออกไปคลุกคลีสัมผัสชาวบ้านก็ไม่รู้หรอกว่าความเป็นจริงหรือของจริงเป็นเช่นไร
รุกป่าสงวนฯ หรือ จงออกไป
ปลูกอะไรอยู่หรือ จงเอาไม้เศรษฐกิจเชิงเดี่ยวขึ้นเร็ว เช่นยาง และข้าวโพดไปปลูกซะ
เจ้าหน้าที่รัฐคงไม่รู้ลึกซึ้งว่าอะไรทำลายระบบนิเวศ อะไรรักษาระบบนิเวศ
ในขณะที่ชนเผ่าที่อยู่กับต้นไม้และธารน้ำมาตั้งแต่บรรพบุรุษรู้ดี
ความไม่เข้าใจ ความมักง่าย ยอมเป็นสะพานให้นายทุนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้ก่อให้เกิดปัญหามหภาคคือระบบนิเวศถูกทำลาย
ความเป็นจริงคือแผ่นดินน่านเป็นของทุกเผ่าพันธุ์ดั้งเดิม มิใช่ของรัฐ และมิใช่ของพ่อค้านักธุรกิจภายนอกเข้ามาตักตวงหาประโยชน์
ทุกวันนี้เมื่อคนแปลกหน้าเข้าไปชนเผ่าจะระแวง ก่อนอื่นเขาจะรู้สึกว่าเข้าไปเพื่อไปไล่เขาออกจากที่ทำกิน
เป็นเรื่องน่าแปลกใจหากเจ้าหน้าที่ภาครัฐจะไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินของน่านให้เป็น “แผ่นดินของเรา” ของชาวน่านที่แท้จริง