ในประเทศ

 

Team Spirit

 

“เป็นพระเอกด้วยกัน”

คือคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี

หลังสามารถพบและช่วย 13 ชีวิต ทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ที่ติดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถึง 10 วัน

ทั้งนี้ นายกฯ ได้ประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถูกยกเป็นพระเอก หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้

จากนั้นกล่าวขอบคุณนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร เอกชน ประชาชน ชาวต่างชาติและหน่วยงานจากต่างประเทศ

รวมถึงสื่อมวลชน ที่มีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้

ชมเชยการทำงานของทุกภาคส่วนว่าเป็นแบบอย่างการทำงานแบบบูรณาการ เป็นบทเรียนที่ต้องนำมาศึกษาในการปฏิบัติภารกิจในอนาคตต่อไป

 

แม้ว่าขณะนี้ยังเหลือภารกิจสำคัญคือ จะนำตัวผู้ประสบเหตุ 13 คนออกมาจากถ้ำให้ปลอดภัยอย่างไร

แต่ก็ต้องยอมรับว่า การก้าวมาถึงจุดพบ 13 คนในสภาพที่มีชีวิตและสุขภาพแข็งแรงทั้งที่ติดอยู่ในถ้ำถึง 10 วันนั้นถือเป็นความสำเร็จอันงดงามของทีมกู้ภัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมาก หลายพันคน อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวขอบคุณ

และที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวย้ำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ได้พระราชทานกำลังใจ และสิ่งของพระราชทาน ตลอดจนขอพระบารมีปกเกล้าฯ คุ้มครองเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครให้ประสบความสำเร็จในการทำงานด้วยความเรียบร้อย

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่า อะคาเดมี

โดยรับสั่งว่า การชมเชยเบื้องต้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาสติ สมาธิ ปัญญาในการปฏิบัติภารกิจ โดยภารกิจจะสำเร็จเรียบร้อยก็ต่อเมื่อทุกคนออกมาและกลับสู่ครอบครัวด้วยความปลอดภัย

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากการวางแผนทำงานอย่างเป็นระบบ มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งคนไทยและต่างชาติที่มาร่วมภารกิจหรือส่งกำลังใจมาช่วย

การนำคณะออกจากถ้ำต้องคิดและวางแผนให้ดี คำนึงถึงสุขภาพและภาวะจิตใจก่อนนำตัวออกมา ต้องใช้ดุลพินิจ วุฒิภาวะ ศรัทธา และฉันทะที่ถูกต้อง

หาวิธีการนำตัวออกมาอย่างปลอดภัย รอบคอบ ไม่ประมาท อย่าให้เกิดการบาดเจ็บหรือการสูญเสียทั้งคณะเด็กและคณะผู้ช่วยเหลือ

จากนั้นจึงส่งตัวเข้ารับการเช็กสภาพร่างกาย ณ โรงพยาบาลให้เรียบร้อยและส่งกลับสู่ครอบครัว ส่วนบริเวณถ้ำหลวง ให้ฟื้นฟูพื้นที่และจัดระบบความปลอดภัยให้รัดกุม

นอกจากนี้ ทรงรับสั่งว่า ทำอะไรต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ ตระหนักถึงความเป็นมาและนำประสบการณ์ไปปรับใช้ นำบทเรียนนี้ไปใช้ในการวางแผนระบบแจ้งเตือนภัยต่างๆ

จัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ในการแจ้งเตือนและช่วยชีวิตที่ทันสมัย พร้อมทั้งให้หน่วยงานบริหารจัดการน้ำไปประเมินสถานการณ์ เพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ โดยทำแผนเผชิญเหตุ วิธีป้องกัน และแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง

ส่วนชาวต่างประเทศที่มาร่วมปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ให้ดูแลให้ดี เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้พาท่องเที่ยวต้อนรับอย่างดีโดยทรงรับเป็นอาคันตุกะของพระองค์ จนกว่าจะเดินทางกลับ

หลังจากนี้จะทรงมีพระราชกระแสขอบใจ ชื่นชม ชมเชยทุกหน่วยงานทั้งของไทยและต่างประเทศ ตลอดจนประชาชนชาวไทยและต่างประเทศทั่วโลกต่อไป

 

ขณะที่ในพื้นที่เอง ต้องยอมรับว่า นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้แสดงบทบาทการเป็นผู้นำ จนทำให้การทำงานมีลักษณะเป็นทีม ไม่สับสนวุ่นวาย

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติย้ายนายณรงค์ศักดิ์ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา

ถูกมองเป็นการ “ลดชั้น” พอสมควร

แต่กระนั้น นายณรงค์ศักดิ์ก็ไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวมาลดประสิทธิภาพในการทำงานแต่อย่างใด

ได้โชว์การเป็นผู้นำ และควบคุมการทำงานอย่างโดดเด่น

ซึ่งนายกฯ กล่าวยอมรับว่า “เมื่อเช้าผมได้ชื่นชมเรื่องการทำงานไปแล้วกับตัวเขาเอง และให้เขาทำงานต่อไป ส่วนการย้ายนั้นเป็นการปรับย้ายตามรอบปกติของ มท. ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าคนเราถ้าเป็นคนดี ทำที่ไหนก็เจริญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เจริญที่นั่น เขาไม่ได้มีข้อบกพร่องอะไรหรอก เพียงแต่ต้องการคนที่มีฝีมือไปพัฒนาในพื้นที่ที่ยังไม่มีการพัฒนามากนัก ให้เขาไปพัฒนา ต้องการคนแบบนี้ไป ได้อวยพรกับเขาไปแล้ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มาแล้ว จากการนำเสนอไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นไปตามหลักการปรับย้าย”

ผลการโยกย้ายดังกล่าว คงทำอะไรไม่ได้แล้ว

แต่ชื่อของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ก็กลายเป็นความทรงจำของคนทั้งประเทศไปแล้ว

 

อีกหน่วยงานหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ นั่นก็คือ หน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือหน่วยซีล ที่เข้าปฏิบัติงานตั้งแต่วันแรกๆ ในรูปแบบ “ปิดทองหลังพระ” จริงๆ

คือจะไม่เปิดเผยการปฏิบัติงานในลักษณะบุคคล แต่จะกล่าวถึงรวมๆ ในลักษณะ “ทีม”

จึงไม่ปรากฏข่าวในลักษณะฮีโร่ แต่สังคมก็ทราบดีถึงการทำงานอย่างหนักและเสี่ยงอันตรายของหน่วยซีล

หน่วยซีล ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว

เคยเป็นครูฝึกหน่วยซีล เป็นผู้บังคับการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.)

ในปี 2553 เคยเป็นหัวหน้าชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ปราบปรามโจรสลัดโซมาเลีย ในน่านน้ำอ่าวเอเดน ทางตะวันออกกลาง ร่วมกับกองเรือนานาชาติอีก 29 ประเทศ

ปี 2554 ที่ประเทศไทยประสบวิกฤตมหาอุทกภัย เกิดน้ำท่วมในภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ ในฐานะผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 นำกำลังพลจากหน่วยซีล รวม 27 นาย ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ช่วยชาวบ้านที่ความช่วยเหลือเข้าไม่ถึง

ขึ้นเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560

ระหว่างปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิตทีมฟุตบอลหมูป่า 13 คน ได้กล่าวว่า “ขอให้ประชาชนมั่นใจในการทำงาน จะไม่มีการล้มเลิกภารกิจจนกว่าจะพบผู้ประสบภัยทั้งหมด และพาเด็กๆ กลับบ้าน”

ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วทั้งการทำงานหนักและผลที่เกิดขึ้น

 

 

นอกเหนือจากหน่วยซีลแล้ว

การกู้ชีพในถ้ำที่ถูกน้ำท่วม ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ของหน่วยกู้ภัยไทย จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือไปยังมิตรประเทศ

ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

และชาติมหาอำนาจต่างต้องการแสดงบทบาทในเรื่องดังกล่าว จึงหลั่งไหลความช่วยเหลือเข้ามา

อาทิ

ไจก้า หรือองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่คณะเจ้าหน้าที่จากกรมชลประทานในการปฏิบัติการระบายน้ำออกจากพื้นที่บริเวณโดยรอบถ้ำหลวงอย่างมีประสิทธิภาพและเร่งด่วน

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย แถลงว่า รัฐบาลจีนได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ภัยและการค้นหาผู้ประสบภัยในถ้ำจำนวน 6 คนมายังประเทศไทย และได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทันที

ขณะที่กองกำลังสหรัฐอเมริกาภาคพื้นแปซิฟิก (USPACOM) ได้ส่งทีมค้นหาและกู้ภัยเพื่อช่วยตามหาผู้สูญหาย ตามคำขอของรัฐบาลไทย

เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษจำนวน 3 คน จากองค์กร Derbyshire Cave Rescue Organisation หรือองค์กรผู้ประสบภัยที่ติดถ้ำดาร์บิเชอร์ หรือดีซีอาร์โอ เดินทางมาจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ตามการร้องขอจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทำให้นักดำน้ำในถ้ำชาวอังกฤษระดับโลกประกอบด้วยนายจอห์น โวลันเธน นายริชาร์ด สแตนตัน และนายโรเบิร์ต ชารีฟ ฮาร์เปอร์ เดินทางมาตามคำเชิญ พร้อมอุปกรณ์ดำน้ำและค้นหาผู้พลัดหลงภายในถ้ำ

ส่วนประเทศเพื่อนบ้าน ลาวได้ส่งหน่วยกู้ภัยเวียงจันทน์ 1623 ซึ่งถือเป็นหน่วยกู้ภัยแรกของประเทศ และเพิ่งได้รับรางวัลรามอน แม็กไซไซ เมื่อ 2 ปีก่อน

ด้านพม่า หน่วยกู้ภัยในพื้นที่ก็ได้เข้ามาร่วมช่วยเหลือ ส่วนฟิลิปปินส์แสดงเจตจำนง พร้อมช่วยเหลือทันทีหากมีการร้องขอ

เป็นต้น

 

แม้หน่วยกู้ภัยจะมาจากหลายประเทศ แต่ก็สามารถร่วมปฏิบัติงานเป็น team ได้อย่างราบรื่น

จนในที่สุด นักดำน้ำอังกฤษก็ได้พบกับ 13 ชีวิตติดอยู่ในถ้ำหลวงแม่สายเป็นทีมแรก

เฟซบุ๊ก “Derbyshire Cave Rescue Organisation” โพสต์ข้อความระบุว่า “ถือเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมมาก ที่ในที่สุดก็ค้นพบทั้ง 13 ชีวิต ที่แข็งแรงและเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน เป็นทีมที่เยี่ยมมาก!

“เราได้รับคำขอบคุณมากมาย ซึ่งเราไม่คิดว่าเป็นคำขอบคุณที่เราควรได้รับ สภากู้ภัยในถ้ำอังกฤษ (The British Cave Rescue Council; BCRC) ได้จัดให้ทีมนักดำน้ำในถ้ำเข้าช่วยสนับสนุนการกู้ภัยของไทย ซึ่งภารกิจทั้งหมดไม่ใช่แค่เราทำเพียงลำพัง”

ถือเป็นคำแถลงที่ถ่อมเนื้อถ่อมตน

แต่ก็เป็นการยืนยันถึงการทำงานที่ต้องเป็นทีม

หรือมี Team Spirit จึงจะทำให้งานสำเร็จลงได้ด้วยแรงสนับสนุนจากทุกฝ่าย

 

เช่นเดียวกับทีม “หมูป่า” รวม 13 ชีวิตซึ่งติดอยู่ภายในถ้ำหลวง เขตวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถึง 10 วัน

หากขาดเสีย Team Spirit ไม่เชื่อฟังผู้ช่วยโค้ช หรือฟังคำแนะนำจากเพื่อน

ก็อาจจะทำให้ขวัญกำลังใจเสีย ซึ่งจะนำมาสู่การทรุดโทรมของร่างกายได้

มีรายงานว่าขณะที่เด็กติดอยู่ภายในถ้ำ นายเอกพล จันทะวงษ์ อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นผู้ช่วยโค้ช ได้ให้เด็กๆ นอนนิ่งๆ อยู่กับพื้น โดยไม่ให้เด็กๆ ขยับตัวเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานในร่างกาย และให้ดื่มน้ำที่หยดลงมาจากผนังถ้ำเท่านั้นเพื่อไม่ให้ท้องเสียหรือรับเชื้อโรค

ซึ่งทุกคนก็ทำตาม ทำให้สุขภาพของทั้งหมดดีกว่าที่คาดหมายมาก

ผู้ช่วยโค้ชดูอ่อนแรงกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเสียสละอาหารและน้ำให้ลูกทีม

ภาพทีมหมูป่า ที่นักดำน้ำอังกฤษชมว่า “แข็งแรง” นั้น ด้านหนึ่ง ก็สะท้อนสปิริตของทีมที่แข็งแกร่ง

ทำอะไรก็ร่วมไม้ร่วมมือกัน เหมือนดังทีมกู้ภัยก็ใช้หลักเดียวกัน

นี่เองทำให้คนไทยทั้งประเทศดีใจอย่างมากกับข่าวการค้นพบทีมหมูป่า ที่นอกจากยังมีชีวิตแล้ว

ยัง “แกร่ง” อย่างไม่น่าเชื่อ