40 ปี ยังไม่ไปไหน

วงค์ ตาวัน

ความหวาดกลัวในลัทธิคอมมิวนิสต์ของกลุ่มอำนาจในสังคมไทย เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่นำมาสู่เหตุการณ์ฆ่าหมู่นักศึกษาประชาชนกลางเมือง เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ฆ่าโดยมีคำสั่งมีการตระเตรียมเป็นขั้นตอน ดังนั้น หลังเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป จึงมีความพยายามที่จะทำให้ผู้คนลืมเลือน ไม่สนใจจดจำ และไม่มีการขุดค้นหาความจริง หาคนรับผิดชอบ ต่อกระบวนการก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่ของเมืองไทย

การสังหารหมู่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีการเตรียมการล่วงหน้าอย่างเป็นลำดับ

มีการออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเปิดเผยปูทางทำนองว่า ถึงเวลาที่จำเป็นต้องจัดการกับนักศึกษาสักหมื่นคน เพื่อให้สังคมไทยเกิดความสงบ

รวมทั้งการเทศน์ของพระฝ่ายขวาที่ว่า การฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป พร้อมๆ กับเกิดปฏิบัติการที่เรียกว่าขวาพิฆาตซ้ายอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างนั้น มีสัญญาณเตือนว่าจะมีการกวาดล้างปราบปรามฝ่ายซ้ายครั้งใหญ่ ทำให้แกนนำของฝ่ายนักศึกษาที่ตกเป็นเป้า ทยอยเดินทางออกไปนอกประเทศบ้าง เข้าป่าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์บ้าง ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดในเดือนตุลาคม

“แม้แต่ชื่อ”คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน”ก็ปรากฏอยู่ในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา โดยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าถึง 2-3 เดือน แล้วชื่อนี้ก็เกิดขึ้นจริงในวันที่ 6 ตุลาฯ”

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในช่วงระยะนั้น กลุ่มอำนาจในไทยกำลังหวั่นเกรงกับทฤษฎีโดมิโน ภายหลังรัฐบาลฝ่ายขวาในเวียดนาม กัมพูชา ลาว พ่ายแพ้ต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ชาติกลายเป็นประเทศสังคมนิยมกันถ้วนหน้า

จึงหวาดผวาว่าไทยจะกลายเป็นประเทศที่ 4 ที่ล้มตาม กลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วย

ในส่วนของขบวนการนักศึกษาประชาชน ที่ก่อเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้กลายเป็นพลังสำคัญในสังคมไทยในช่วงนั้น ประสานเข้ากับกรรมกรและชาวนา มีการต่อสู้ในทุกปัญหาทางสังคม และได้รับความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

ทำให้ฝ่ายขวาพากันหวั่นเกรงว่า หากขบวนการฝ่ายซ้ายที่เติบโตอย่างมากในเมืองร่วมมือกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ โอกาสที่จะเกิดทฤษฎีโดมิโนก็มีความเป็นไปได้มาก

“คำสั่งปราบปรามให้นักศึกษาประชาชนฝ่ายซ้ายหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยจึงบังเกิดขึ้น”

โดยเริ่มจากนำเอา จอมพลถนอม กิตติขจร 1 ใน 3 ทรราชที่ถูกขับไล่ออกไปเมื่อ 14 ตุลาฯ กลับมาประเทศไทย โดยบวชเณรเข้ามา เพื่อจุดชนวนให้นักศึกษาต้องชุมนุมต่อต้าน

และทำได้สำเร็จ ด้วยการสร้างเรื่องบิดเบือนว่า นักศึกษาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง โดยตกแต่งภาพการแสดงละครแล้วเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ขวาจัด

จนสามารถปลุกระดมมวลชนฝ่ายขวาให้ลุกฮือเข้าล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนที่กองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้อาวุธระดมยิงเข้าไป จนเกิดความสูญเสียและกลายเป็นกำารเข่นฆ่ากลางเมืองที่อำมหิต

“ดังที่ปรากฏภาพ การใช้ผ้าพันคอลากร่างไปกับสนามฟุตบอล การนำไปเผากับยางรถยนต์ การตอกลิ่ม นำไปแขวนคอกับต้นมะขามสนามหลวง แล้วเอาเก้าอี้ฟาด”

แต่สุดท้าย ผลการปราบปรามในวันนั้น ได้ผลักดันให้นักศึกษาปัญญาชน แห่กันเข้าไปหลายพันคนไปร่วมจับอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์สู้รบกับรัฐบาล จนเขตงานของคอมมิวนิสต์ขยายตัวอย่างกว้างขวาง

ทำให้กองทัพต้องพลิกตัว ใช้การเมืองนำการทหาร นำเอานโยบาย 66/23 ใช้สันติวิธีมาหยุดการต่อสู้ได้สำเร็จ

แต่เพราะสังคมไทยไม่เคยสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ นี้อย่างจริงจัง

ไม่มีการนำมาใช้เป็นกรณีศึกษา เพื่อชี้ให้เห็นว่า การสร้างเรื่องบิดเบือนใส่ร้ายคนคิดต่าง จนทำให้คนอีกฝ่ายมองเห็นเพื่อนร่วมสังคมไม่ใช่มนุษย์ จนสามารถเข่นฆ่ากันได้ แขวนคอแล้วเอาเก้าอี้ฟาดกันได้

เป็นความโหดร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก

ดังนั้น ความขัดแย้งทางความคิดและการเมืองในช่วงระยะหลัง ยังมีแนวโน้มที่ใช้วิธีสร้างความเกลียดชังกันถึงขั้นไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ เกิดขึ้นอีกเสมอๆ

 

หากใครได้ชมหนังดังฮอลลีวู้ดเรื่อง Bridge Of Spies ที่ฉายไปเมื่อปลายปีที่แล้ว และมาโผล่ในช่อง HBO ทางทีวีแบบบอกรับสมาชิกเจ้าดังในระยะนี้ ย่อมได้เรียนรู้กระแสความหวาดผวาคอมมิวนิสต์ในสังคมอเมริกัน ในยุคสงครามเย็นปกคลุมโลก

“คล้ายๆ กับประเทศเราในช่วงเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม”

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเห็นบรรยากาศการล่าตัวสปายสายลับ ระหว่าง 2 มหาอำนาจ 2 ขั้ว สหรัฐกับโซเวียตอย่างเข้มข้น

ขณะที่เอฟบีไอสหรัฐ จับกุมบุคคลที่เชื่อว่าเป็นสายลับของโซเวียตเพื่อมาสอบสวนและดำเนินคดี แต่ด้วยขั้นตอนกฎหมายที่จะต้องเปิดให้ผู้ต้องหาสามารถต่อสู้คดีได้ ทำให้ต้องมีทนายความของอเมริกันเอง มาทำหน้าที่แก้ต่างทางคดีให้กับผู้ต้องหาสายลับ

ทนายความผู้นี้เอง ต้องตกอยู่ท่ามกลางความกดดันของเพื่อนร่วมชาติ ต่างโกรธแค้นที่ไปช่วยเหลือศัตรูของสหรัฐ

“ความชิงชังของสังคมอเมริกันในยุคเกลียดกลัวคอมมิวนิสต์ ส่งผลต่อทนายความพร้อมครอบครัวต้องเดือดร้อนไปด้วย”

แต่ด้วยความเชื่อตามหลักของนักกฎหมายก็คือ ผู้ต้องหาไม่ว่าจะเป็นคดีอะไร ต้องได้รับความเสมอภาค ต้องได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน

จึงยืนหยัดต่อสู้คดีให้อย่างถึงที่สุด

ขณะเดียวกัน ที่สะท้อนออกมาจากหนังเรื่องนี้ก็คือ ความเป็นชาตินี่เอง ที่ทำให้คนเกิดการแบ่งแยกกัน

ลัทธิชาตินิยม ทำให้คนอยากเห็นการนำตัวผู้ต้องหาที่เป็นศัตรูของชาติ ไปประหารชีวิตให้ได้

“แต่สุดท้ายหนังเรื่องนี้ยืนยันว่า ความเป็นคนของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติไหน ควรต้องได้รับการคุ้มครองสูงสุด!”

สิ่งที่คนดูหนังเรื่องนี้ได้ซึมซับไป ก็คือการจัดการกับคนคิดต่าง ต้องดำเนินไปอย่างเคารพกันและกัน

วันนี้โลกผ่านพ้นยุคสงครามเย็นไปแล้ว ฝ่ายโซเวียตถึงยุคล่มสลาย สังคมคอมมิวนิสต์แทบจะหมดไปจากโลกนี้แล้ว

สหรัฐเองได้กลายเป็นผู้นำโลกเสรี และด้วยยุทธศาสตร์การแผ่อิทธิพลไปทั่วทุกภูมิภาค จึงโดดเข้าสนับสนุนประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตย กดดันประเทศที่ยังเป็นเผด็จการให้กลับมาสู่ประชาธิปไตย

ส่วนไทยเราสู่ยุคถดถอย ย้อนกลับไปสู่ยุคประชาธิปไตยลดน้อยลง

ฝ่ายขวาในสังคมไทยกลับมาเริงร่า และไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาฯ ขับไล่ไสส่งคนคิดต่างไม่ให้อยู่ร่วมสังคมอยู่เสมอๆ

รวมทั้งชิงชังสหรัฐที่บังอาจมากดดันรัฐบาลทหารไทยอย่างรุนแรง

 

ครบรอบ 40 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาคมในปีนี้ สังคมไทยเราตกเป็นข่าวไปทั่วโลกในแง่ที่ไม่สวยงามนัก เพราะมีกรณี โจชัว หว่อง แกนนำนักศึกษาฮ่องกง บินมาร่วมงาน 6 ตุลาฯ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ถูกทางการไทยผลักดันออกไป ไม่ให้เข้าประเทศ

ทั้งที่เป็นการมาร่วมงานรำลึกเหตุการณ์เข่นฆ่านักศึกษาประชาชน

แต่ทางการไทยกลับแสดงท่าทีอันไม่เปิดกว้าง ไม่เป็นเสรีประชาธิปไตย และเอาอกเอาใจรัฐบาลจีน

“จึงเสมือนการตอกย้ำว่า บรรยากาศแบบ 6 ตุลาคมเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ได้ย้อนกลับมาปกคลุมสังคมไทยในวันนี้”

เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง เป็นฝ่ายยึดกุมการเมือง รัฐบาลที่ปกครองประเทศก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ขณะที่เมื่อปี 2519 ภายหลังการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในธรรมศาสตร์ตามแผนที่วางไว้ลุล่วงแล้ว ตกเย็นวันนั้นคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินก็เข้ายึดอำนาจการปกครอง แต่งตั้งรัฐบาล ธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้ามาบริหารประเทศ ตามแนวทางขวาสุดกู่

“แถมประกาศยุทธศาสตร์พัฒนาประชาธิปไตย 3 ขั้น 12 ปีอีกด้วย!!”

แต่สุดท้ายเกิดแรงต่อต้านยุคเผด็จการไปทั่ว จนทำให้คณะทหารที่ยึดอำนาจในวันที่ 6 ตุลาฯ ต้องปฏิวัติอีกครั้งเพื่อล้มรัฐบาลธานินทร์ หลังจากปกครองประเทศได้เพียงปีเดียว ไปไม่ถึง 12 ปี

สังคมไทยวันนี้ คล้ายจะย้อนกลับไปยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 และบางส่วนก็เหมือนยุค 6 ตุลาคม 2519

โดยไม่เรียนรู้บทเรียน และไม่ศึกษาว่า เผด็จการย้อนยุคนั้น ไม่สามารถอยู่ได้นาน 10 ปี 20 ปี อย่างแน่นอน!