เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (16) สามเณรรูปแรก

เป็นที่รู้กันว่า สามเณรรูปแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาคือ ราหุล พระราชโอรสเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาต่อมา

เรื่องราวของสามเณรราหุล มีบางอย่างที่น่าสังเกต บางอย่างอะไรบ้าง ขอพูดไว้ตอนท้าย

ตอนนี้ขอเล่าความเป็นมาก่อน

ว่ากันว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชหลังจากราหุลกุมารประสูติใหม่ๆ พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรรวมทั้งทรงทำทุกรกิริยา เป็นเวลา 6 ปี จึงได้ตรัสรู้ เมื่อทรงประกาศพระพุทธศาสนาวางรากฐานพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธแล้ว ไม่นานก็เสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระยุรญาติในการเสด็จครั้งนี้แล้ว ราหุลกุมารถูกพระมารดาสั่งให้ไปทูลขอ “ทายัชชะ” กับพระพุทธเจ้า ขณะเสด็จออก “โปรดสัตว์” ในเมืองกบิลพัสดุ์ (นี้เป็นภาษาพระ หมายถึงออกบิณฑบาต) ราหุลน้อยในเรื่องนี้ ไม่ค่อยประสีประสานัก ได้ร้องขอว่า “สมณะ ขอทายัชชะ สมณะ ขอทายัชชะ”

โดยตามเสด็จพระพุทธองค์ต้อยๆ ออกจากเมืองไปจนถึงป่าไทร (นิโครธาราม) นอกเมืองอันเป็นสถานที่ประทับชั่วคราว

คะเนว่าราหุลน้อยอายุไม่เกิน 7-8 ขวบ แล้ว “ทายัชชะ” ที่ว่านี้ครูบาอาจารย์สอนว่าหมายถึง “ขุมทรัพย์” เพราะขุมทรัพย์เกิดมาเพื่อผู้มีบุญญาธิการนั้น ถ้าเจ้าของไม่อยู่แล้ว ก็จะจมลงดิน ไม่มีใครสามารถเอาไปใช้ได้

ว่าอย่างนั้นสำนวนหนึ่ง

อีกสำนวนหนึ่งว่า “ทายัชชะ” แปลว่าความเป็นทายาท ราหุลน้อยขอความเป็นทายาทหมายความว่า เจ้าชายสิทธัตถะนั้นทรงเป็นรัชทายาทที่จะสืบราชสมบัติแทนพระเจ้าสุทโธทนะอยู่แล้ว

เมื่อพระองค์เสด็จออกผนวช แม้ว่าจะแสดงให้โลกรู้ว่าทรงละโลกียวิสัยแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่าสละเด็ดขาด อย่างน้อยพระเจ้าสุทโธทนะแหละที่ไม่อยากให้พระราชโอรสของพระองค์ทิ้งราชบัลลังก์ ดังจะเห็นว่าไม่ทรงตั้งใครเป็นรัชทายาทสืบแทน และ (จากข้อความแวดล้อมในคัมภีร์เถรวาท และข้อมูลจากฝ่ายมหายาน) มีความพยายามให้คนไปทูลเชิญเสด็จกลับพระนครหลายครั้ง

ขณะทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ พระนางยโสธราพิมพา ก็อยากให้ทุกอย่าง “ชัดเจน” จึงทรงส่งพระโอรสตามไปขอให้พระพุทธองค์ “ทรงมอบความเป็นทายาท” ให้แก่พระโอรสของพระองค์ อะไรประมาณนั้น

พระพุทธองค์ทรงดำริว่า ทรัพย์ภายนอกไม่ปลอดภัย อาจพิบัติฉับหายไปเพราะโจรภัย อัคคีภัย ราชภัย เป็นต้น แต่ทรัพย์ภายในอันเป็นทรัพย์ประเสริฐ ไม่มีทางสูญหายไป จึงรับสั่งให้พระสารีบุตร อัครสาวกบวชให้ราหุลกุมาร

พระสารีบุตรทูลถามว่า จะให้บวชแบบไหน

พระพุทธองค์ตรัสว่าให้รับไตรสรณคมน์ก็พอ

ตรงนี้หมายถึง การกล่าววาจาถึงพระรัตนตรัยตามครั้งว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง…ธัมมัง…สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ พุทธัง…ธัมมัง…สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

เปล่งวาจาถึงไตรสรณคมน์แล้ว กล่าวสมาทานศีล 10 ก็เป็นสามเณรโดยสมบูรณ์

พระสารีบุตรจึงบวชให้ราหุลกุมารตามพุทธบัญชา ราหุลกุมาร จึงเป็นสามเณรรูปแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

ว่ากันว่า พระเจ้าสุทโธทนะทรงเสียพระทัยมากที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ราหุลกุมาร เพราะหลังจากพระราชโอรสเสด็จออกผนวชแล้วก็ทรงหวังไว้ว่าพระราชนัดดานี้แลจะได้สืบราชสมบัติแทน เมื่อบวชเสียแล้วก็ไม่มีผู้สืบราชบัลลังก์ จึงเสด็จไปขอพรว่า ต่อไปภายหน้า ใครจะบวชขอให้เขาผู้นั้นได้รับอนุญาตจากบิดามารดาก่อน

พระพุทธองค์ก็ประทานอนุญาตตามนั้น

ข้อที่น่าสังเกต (พร้อมด้วยเครื่องหมายคำถาม) ก็คือ การบวชราหุลกุมาร คงเป็นระยะต้นๆ แห่งการประกาศพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ยังคงประทานอุปสมบทด้วยวิธี “เอหิภิกขุ” ด้วยพระองค์เองอยู่ แต่การซักถามว่าผู้บวชได้รับอนุญาตจากบิดามารดาหรือยัง เป็นตอนที่ทรงมอบภาระการบวชให้อยู่ในความรับผิดชอบของพระสงฆ์แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาหลังจากนั้นพอสมควร

ในพิธีอุปสมบทต่อมา จึงมีการซักถามจากพระคู่สวดว่า อนุญญาโตสิ มาตาปิตูหิ = เธอได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้วหรือ นาคหรือผู้จะบวชจะต้องตอบว่า อามะ ภันเต = อนุญาตแล้วขอรับ

ปัจจุบันนี้ เพิ่มภรรยาด้วย ภรรยาต้องอนุญาตด้วย หาไม่เดี๋ยวโบสถ์อาจพังเอาง่ายๆ