วงค์ ตาวัน : แม้ว-ปูหนีการเมือง ถึงพระหนีคดีเงินทอน

วงค์ ตาวัน

การหลบหนีของอดีตพระพรหมเมธี ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด สร้างปัญหาให้กับตำรวจในการติดตามจับกุมอย่างมาก คงเพราะศึกษาประเด็นข้อกฎหมายแล้วอย่างดี ก่อนตัดสินใจหลบหนี และมุ่งหน้าไปยังเยอรมนี โดยมีเป้าหมายอยู่ที่สำนักงานผู้อพยพและผู้ลี้ภัย เพื่อยื่นเรื่องขอลี้ภัย

ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ลงทุนติดตามไล่ล่าด้วยตัวเอง ตามไปถึงชายแดนแม่น้ำโขง และบินตามไปถึงแฟรงก์เฟิร์ต

เพื่อไปยืนยันด้วยตัวเองกับทางการเยอรมนีว่า กรณีนี้เป็นการหลบหนีคดีทุจริตงบประมาณด้านวัดในไทย ไม่ใช่ปัญหาความไม่เป็นธรรมด้านศาสนา

เพื่อโต้แย้งเหตุผลของอดีตพระพรหมเมธีในการอ้างเรื่องเพื่อขอลี้ภัย

“ให้อัยการและกระทรวงมหาดไทยของเยอรมนีนำไปพิจารณาชั่งน้ำหนัก ก่อนตัดสินว่าจะอนุมัติให้อดีตพระพรหมเมธีลี้ภัยอยู่ในเยอรมนี หรือส่งตัวให้กับตำรวจไทยเพื่อนำกลับมาดำเนินคดี”

คดีนี้ถือเป็นกรณีศึกษา ที่ตำรวจไทยคงจะต้องนำมาพิจารณาเพื่อรับมือกับผู้ต้องหารายอื่นๆ ในภายภาคหน้า

ในยุคที่การเดินทางไปมาระหว่างประเทศสะดวกสบาย ผู้ต้องหาที่มีเงิน มีสถานะ พร้อมจะใช้วิธีนี้ในการหลุดรอดจากกระบวนการยุติธรรมของไทยเรา

“ทั้งก่อนหน้านี้ก็ปรากฏมาแล้วหลายราย เช่น พระชื่อดังที่หลบหนีข้ามประเทศหลายราย ไปจนถึงทายาทกระทิงแดง ที่บัดนี้ยังตามหาตัวไม่เจอ”

พร้อมๆ กัน ทำให้หลายคนนึกถึงกรณี 2 อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีออกจากประเทศไทย และทางการไทยไม่สามารถนำตัวกลับมาลงโทษได้

“แต่กรณีทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ จะพบว่าแตกต่างกับผู้ต้องหารายอื่นๆ”

เพราะทั้งคู่ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อยื่นเรื่องขอลี้ภัยทางการเมืองแต่อย่างใด กลับสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วโลกอย่างมีอิสระ

นั่นเพราะในสายตาของโลก มองว่า 2 พี่น้องชินวัตร โดนโค่นล้มด้วยเกมการชิงอำนาจทางการเมือง ส่วนคดีความด้านทุจริตต่างๆ ไม่เป็นประเด็นให้ประเทศต่างๆ ต้องสนใจ เพราะมองทะลุถึงเบื้องหลังการโค่นอำนาจทางการเมือง

ดังนั้น ทำให้แทบทุกประเทศยังเปิดประตูรับทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ทำให้สามารถเข้าออกได้ทุกประเทศในโลก

“ทั้งกลายเป็นเครื่องประจานว่า ทั่วทั้งโลกมองปัญหาการเมืองไทยว่าเป็นเช่นไร!?”

อันทำให้ไม่มีใครร่วมมือกับการร้องขอของทางการไทยที่ให้จับตัวคนทั้งสองส่งมาให้ไทยเพื่อลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม

ไม่เคยร่วมมือจับตัวทักษิณมานับสิบปีแล้ว เมื่อยิ่งลักษณ์หลบหนีตามไปสมทบ ก็ไม่มีใครร่วมมือจับกุมยิ่งลักษณ์ให้ไทยอีกเช่นกัน

หลังจากทักษิณและยิ่งลักษณ์เริ่มออกเดินทางโชว์ตัวไปในประเทศต่างๆ พร้อมกัน จนล่าสุดแวะมาพักที่สิงคโปร์นับสัปดาห์ เกิดปรากฏการณ์ที่นักการเมืองและคนใกล้ชิดจากไทยบินไปพบปะ 2 พี่น้องชินวัตรกันอย่างคึกคัก

จากนั้นก็เกิดข่าวใหญ่เกรียวกราวไปทั่ว เมื่อสำนักข่าวบีบีซีแห่งประเทศอังกฤษรายงานว่า ทางการอังกฤษอนุมัติวีซ่าให้กับยิ่งลักษณ์ยาวถึง 10 ปี โดยสามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา

ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อยิ่งลักษณ์อย่างมาก

“มากกว่าการลี้ภัยเสียอีก”

ทั้งนี้ ตอนที่ยิ่งลักษณ์หนีคดีจำนำข้าวออกจากไทย มีข่าวสะพัดว่ามุ่งหน้ามาอังกฤษเพื่อขอลี้ภัย แต่ต่อมาก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า ยิ่งลักษณ์ไม่เคยคิดขอลี้ภัย เพราะไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะมีประเทศไหนที่จะร่วมมือกับทางการไทยในการจับกุมตัว

อีกทั้งความกว้างขวางของทักษิณที่ทำธุรกิจใหญ่อยู่ในหลายประเทศ ไม่ใช่เรื่องยากที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ออกหนังสือเดินทางให้ยิ่งลักษณ์ ซึ่งบัดนี้ยิ่งลักษณ์ก็มีพาสปอร์ตใช้แล้วแน่นอน ทำให้เดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วโลก

จนล่าสุดได้วีซ่าจากอังกฤษถึง 10 ปี ซึ่งเป็นข่าวที่สะเทือนถึงเมืองไทยอย่างมาก เขย่าขวัญกลุ่มอำนาจปัจจุบัน และกลุ่มการเมืองพรรคการเมืองที่เคยขับไล่ยิ่งลักษณ์ เพราะการที่ทั่วโลกยังให้การต้อนรับอย่างเป็นบุคคลพิเศษ และไม่ร่วมมือในการควบคุมตัว

“แสดงถึงสายตาที่ประเทศต่างๆ มองปัญหาการเมืองไทยว่าไร้กฎกติกา ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตย ทำลายล้างกันจนระดับผู้นำการเมืองต้องหนีออกนอกประเทศ!”

ไม่เท่านั้น ในจังหวะที่ประเทศใหญ่อย่างอังกฤษออกวีซ่าให้ถึง 10 ปี ปรากฏว่าทักษิณกับยิ่งลักษณ์ได้ไปโชว์ตัวอยู่ที่สหรัฐ แสดงถึงการเปิดประตูอ้ารับของชาติมหาอำนาจอีกประเทศ

โดยไปถ่ายรูปแพร่ไปทั่ว ให้เห็นถึงการเยี่ยมเยียมอนุสรณ์สถานลินคอล์น สัญลักษณ์แห่งการเลิกทาส

ไปร่วมรำลึกเหตุการณ์ก่อการร้าย 911 สัญลักษณ์แห่งความรุนแรงทำลายล้าง

ไปเที่ยวอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ

“ทั้งหมดคล้ายต้องการส่งภาพสะท้อนมาถึงปัญหาในบ้านเรา”

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ท่าทีของนานาชาติต่อ 2 อดีตนายกฯ ไทย เป็นการบ่งบอกว่า ทั้งโลกไม่ยอมรับวิธีการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในบ้านเราและการไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย โค่นล้มกันด้วยอำนาจนอกระบบ และวิถีทางรัฐประหาร อันเป็นสิ่งที่ทั่วโลกไม่ยอมรับ

อีกทั้งการยังท่องเที่ยวไปทั่วโลกอย่างอิสระเสรีของ 2 อดีตนายกฯ

ก็คือการประจานปัญหาการเมืองไทย บอกเล่าให้เห็นว่าถึงวันนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่แปรเปลี่ยน!

กรณีหลบหนีคดีของทักษิณและยิ่งลักษณ์ จึงแตกต่างไปจากผู้ต้องหารายอื่นๆ เพราะทั่วโลกตีความว่า 2 พี่น้องชินวัตรเป็นเรื่องการเมืองแน่นอน จึงยังต้อนรับและไม่ร่วมมือในเรื่องหมายจากทางการไทย

ทั้งนี้ ประเทศใหญ่ๆ ทุกประเทศมีเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองประจำการอยู่ในไทยเรา ซึ่งสามารถหาข้อมูลทางการเมืองได้ถึงบุคคลระดับสูงของไทย ทำให้ข่าวสารที่รายงานถึงรัฐบาลประเทศต่างๆ ล้วนแม่นยำและเจาะลึก

สามารถประเมินสถานการณ์ในไทยที่เป็นจริงได้

“รวมทั้งทำให้สามารถแยกแยะได้ไม่ยากว่า ใครหลบหนีจากไทยด้วยปัญหาการเมืองหรือปัญหาทุจริตหรือปัญหาอาชญากรรม!!”

ขณะที่กรณีอดีตพระพรหมเมธีนั้น เชื่อว่าทางการเยอรมนีจะมีรายงานข่าวกรองที่ระบุได้ไม่ยากว่า ไม่น่าจะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่กระนั้นก็ตาม การเปิดกว้างด้านสิทธิมนุษยชนของยุโรป เป็นช่องทางที่ทำให้อดีตพระพรหมเมธีสามารถหาทางลี้ภัยได้อยู่ไม่น้อย

ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาข้อเท็จจริงทุกๆ ด้านของอัยการและกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี

เพียงแต่ทางตำรวจไทยนั้น การที่มีระดับ ผบ.ตร. บินไปประสานงานกับทางการเยอรมนีด้วยตัวเอง ย่อมทำให้น้ำหนักของฝ่ายตำรวจไทยก็มีอยู่มาก

“น่าจะส่งผลให้เยอรมนีให้ความสำคัญกับพยานหลักฐานทางคดีที่ตำรวจไทยยื่นแสดงเพื่อหักล้างคำข้อลี้ภัยของอดีตพระพรหมเมธี ซึ่งก็คงต้องรอฟังผลการพิจารณากันต่อไป”

บทสรุปสุดท้ายของคดีนี้ คงจะป็นกรณีศึกษาในแง่มุมใหม่ให้กับตำรวจไทย

ทำให้เริ่มมีการพูดถึงการสร้างเครือข่ายตำรวจไทยในต่างประเทศ

“เช่น จำเป็นต้องมีตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจขึ้นมาหรือไม่!?”

เพื่อให้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประจำการในประเทศใหญ่ๆ เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาด้านการหลบหนีของผู้ต้องหาต่างๆ

สามารถเข้าประสานงานหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วฉับไวกว่านี้!