ขอโทษ-ขอพวก : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12/สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

—————-

ขอโทษ-ขอพวก

————–

การ “ขอโทษ”

เป็นวัตรปฏิบัติ ที่ดี

แต่ ความดี นั้น ลดฮวบฮาบ ลงทันที

หากคำขอโทษ นั้น มีไว้เฉพาะ”พวกเดียวกัน”

และยิ่งมีเป้าหมายอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังคำ ยิ่งไร้ค่า

แต่ต้องเอ่ย เพราะหวังบางสิ่ง

อย่างเช่น ขอโทษ เพื่อ รักษา “กองหนุน”เอาไว้

ต้องยอมรับว่า อมตะวาจา ของผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง ที่ว่า “ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว”

ส่งผลสะเทือนยิ่ง

เพราะหลังจากนั้น เราเห็นการดิ้นรนดึงกองหนุน กลับคืนมา ในทุกรูปแบบ

ไม่เว้นแม้กระทั่ง วิธีการ ดึกดำบรรพ์ อย่าง “การดูด” ก็ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่

เต็มที่ เพื่อ ที่จะรักษา และเพิ่ม “กองหนุน”ขึ้น

ขนาดคนแปลกหน้า หรือคนที่ยืนอยู่”ฝ่ายตรงข้าม” ก็ยังยอมกลืนน้ำลาย ยอมเสียจุดยืน ยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยมาเป็น “กองหนุน” อย่างไม่ขัดเขิน

แล้วกับ “คนกันเอง”จะขัดเขินอะไรกับการรักษามิตรหรือกองหนุนเอาไว้ต่อไป

การประสานเสียง “ขอโทษ” จึงดังสะท้านทำเนียบและศาลkว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างที่เราเห็น

ต้องไม่ลืมว่า วันนี้ 3 มิถุนายน 2561 กำลังจะมีการประกาศเปิดตัว พรรครวมพลังประชาชาติไทย ขึ้นอย่างเป็นทางการ

คนที่มารวมตัวกันนั้น เชื่อว่า ส่วนใหญ่ต่างเป็นพวก ที่อยู่ใน”เป้าหมาย” ขอโทษ ทั้งสิ้น

ขอโทษ ที่มองว่าปล่อยให้ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ กับ “แกนนำในเครื่องแบบนักบวช”ที่นำม็อบในห้วงก่อนการรัฐประหาร

ซึ่งเชื่อว่า แกนนำในคสช.และรัฐบาลนอกจากสำนึกที่ อยากจะขอโทษแล้ว

ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถดี ที่จะให้ พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นประสบความสำเร็จ และร่วมเป็น”กองหนุน”ไปตลอดกาล

คงไม่มีการจับผิด หรือส่งเสียงปรามดุๆ อย่างที่ทำกับ พรรคอนาคตใหม่ ที่ไปพูดเรื่อง “ฉีกรัฐธรรมนูญ”ขึ้นมาเลยถูกขู่ ว่าอาจจะผิดกฎหมาย

และมีการสั่งทีมทำงานเก็บรายละเอียดยิบย่อยทั้งหมด ที่อาจจะเป็นโทษกับพรรค”ฟันน้ำนม”ที่หาญกล้ามาเป็นคู่ต่อกร

รวมทั้งให้รู้ การไม่เป็นกองหนุน แตกต่างจากการเป็นกองหนุน เช่นไร

พูดถึงเรื่องนี้ ก็อดพูดไม่ได้ถึงกรณี ที่จนบัดนี้ การไล่ล่าเอาผิดม็อบคนอยากเลือกตั้ง ยังคงดำเนินการไปอย่างเข้มข้น

ตำรวจ เตรียมจะเอาผิด อีก 41 ผู้ร่วมชุมนุม

รวมถึง นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เพิ่งไปซุกซนชวนชาวออสโล และพวกสิทธิมนุษยชนต่างชาติ เล่นเกมชูสามนิ้วไล่เผด็จการ

ระหว่าง ได้รับเชิญจากมูลนิธิฮิวแมน ไรท์ส ฟาวเดชั่นไปปาฐก ในงาน ออสโล ฟรีดอม ฟอรั่มประจำปี 2018 ที่สั้นๆเพียง 15 นาที แต่สั่นสะเทือนมาถึงเมืองไทย

เลยติดติ่งกลายเป็น 1 ใน 41 ผู้ต้องหา ไปอีกคดี

ไม่มีเสียง ต่อว่า ตำรวจ กระทำเกินกว่าเหตุ

ทั้งที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง บอกว่าเป็นเพียงการออกมาแสดงสิทธิขั้นพื้นฐาน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ด้วยการขอสิทธิเลือกตั้งคืน

แต่ผลที่ได้คืน คือการ ตกเป็นผู้ต้องหา

ขณะที่ คน หรือให้เกียรติหน่อย พระรูปนั้น กระทำผิดอาญา ในฐานะลักทรัพย์ อั้งยี่ ซ่องโจร รวมถึงการแอบอ้างใช้เครื่องหมาย ภ.ป.ร.และส.ก. โดยไม่ได้รับพระราชราชนุญาต

ถูกปกป้องจากบางฝ่ายว่าถูกตำรวจละเมิดสิทธิพื้นฐาน กระทำการจับกุมที่รุนแรงเกินไป

ไม่นานจากนั้น เราก็ได้ยินคำ ขอโทษ อย่างเป็นทางการจากโฆษกประจำสนักนายกรัฐมนตรี และจากปากของคนพูดเองด้วย

นี่ย่อมเป็นข้อแตกต่าง ที่เห็นได้ชัดของบ้านเมืองนี้ ที่มากมายหลายมาตรฐาน

และเป็นการขอโทษ เพื่อ “ขอพวก” เท่านั้น