การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ …สิ่งที่ฉันทำ

ฉันมาอยู่บ้านได้กี่วันเดือนแล้วนะ จากใต้ถุนบ้าน มองข้ามลำน้ำไป เห็นภูเขาฝั่งทุ่งตะวันออก แลดูสลับซับซ้อนในแสงอ่อนแก่

มีเมฆหนาครึ้มอยู่ไกลๆ

พี่โฟคาดตะข้องออกบ้านไปแต่เช้า ว่าจะไปหาปูและเก็บผักจุมปา พี่สาวต่างแม่ขยันขันแข็งอย่างเหลือล้น และดูจะมีความสุขมากเมื่อได้กลับมาอยู่กับครอบครัว

ทุกอย่างดูจะดำเนินไปได้ด้วยดี แม้เราจะยังมีเงินทองเพียงเล็กน้อย แต่พ่อกับแม่ไม่เคยปล่อยคำพูดเรื่องความขัดสนออกมาอีก

ทำไมฉันจะไม่รู้ แม่ระมัดระวังมากขึ้น กลัวคำพูดกระทบจิตใจฉัน เหมือนการ “หาเงิน” ของฉันในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมา เป็นเรื่องต้องห้ามนักหนา

แต่อาจเพราะที่ผ่านมา ความเจ็บป่วยและอ่อนแอของฉันเป็นของจริง ที่ทุกคนมองเห็นมันได้

และลึกๆ ในตัวฉันเอง ถึงบาดแผลบนร่างกายจะหายดีขึ้นเรื่อยๆ หากขุดเข้าข้างใน บางสิ่งยังเปิดอ้าและมีความเจ็บปวดฝังอยู่

 

ท้องฟ้าช่างสวยนัก สวยจนอยากจะวาดภาพเป็นกับเขาบ้าง มองด้วยตา ฉันเห็นสีฟ้า สีขาว สีเทา แรระบายไล่กันเป็นชั้นๆ บางช่วงกลืนเข้าหากันเหมือนป้ายด้วยพู่กันเปียกชุ่ม ท้องทุ่งสีเขียว แต่ในเขียวก็ยังมีอีกหลายเฉดอ่อนแก่ ข้าวกำลังตั้งกอ และทุกอย่างเหล่านั้นผสมผสานกัน

งามจับใจจนน่าใจหาย

ในบางวูบของความรู้สึก ฉันอดคิดสมมุติไม่ได้…ถ้า…ถ้าจะไม่มีลมหายใจและดวงตามองเห็นสิ่งเหล่านี้อีก

ตัวฉันเองจะเสียดายบ้างไหม

หมารอยล่ะ ในคอกคุกขังที่ไร้อิสระ จะคิดถึงท้องทุ่งที่นี่หรือไม่

[ท้องฟ้าสวยเหลือเกินเบื้องหน้า

ทว่าดวงตาของฉันกลับมองหาแห่งหนใด

หรือว่า…

มีท้องฟ้าจริงๆ ของเราบ้างไหม

และตัวเราเอง มีปีกได้บ้างหรือเปล่า

รู้มั้ย

บางครั้ง ฉันก็อยากพ้นไปจากความเศร้า

อยากเข้าไปในใจกลางของเงื้อมเงา

หลบอยู่ในสีเทาของก้อนเมฆเหล่านั้น

อยากจะนอนพักกาย

หยุดวนว่ายทุกสิ่งอัน

หยุดคิด หยุดฝัน

อยู่แค่กับนิรันดร์ของการไม่ต้องหายใจ

ท้องฟ้าสวยเหลือเกิน

คงจะดีถ้าเราได้หยุดเดินบนหนามไหน่

แค่นอนลงไป

อยู่ในอ้อมกอดของท้องฟ้า]

 

“พี่…พี่คะ”

เด็กผมขอดคงจะมายืนอยู่นานแล้ว กว่าที่ฉันจะได้ยินเสียงเรียกซ้ำ แต่ก็อาจนานพอจะได้เห็นว่า ฉันเช็ดน้ำตาตัวเองอยู่

“…พี่คะ”

“มีอะไร” ปล่อยเสียงห้วนแข็งออกไป และสั่งตัวเองให้นิ่งเฉยอยู่

ไม่แม้แต่จะเหลียวหา

“…เอ้อ ปิมจะมาถามว่า…” เสียงตะกุกตะกัก “พี่กินข้าวแล้วหรือยัง”

ความเงียบเกิดขึ้นครู่ใหญ่ ก่อนฉันจะพูดตอบไป

“ยัง มีอะไร”

“…ปิม…ปิมลองทำกับข้าว เลยอยากเอามาให้พี่ชิม”

คราวนี้อดหันไม่ได้ และก็เห็นร่างขาวแบบบางในเสื้อแขนกุดกับผ้าซิ่นกรอมเท้า ราวผุดออกมาจากหนังสือเก่าๆ ในวัด

นั่นคงเป็นเสื้อผ้าเก่าของแม่ แต่ก็ดูเหมาะเจาะสมตัวดีอย่างน่าประหลาด

ในมือถือชามแกงอยู่

“อะไร?”

“…ต้มผักกาดน้อยค่ะ เอามากินกับน้ำพริกหอม…แม่ดาบอกว่าพี่ชอบ”

ใจอ่อนวูบขึ้นมา เห็นชัดในแววตากึ่งกลัวกึ่งกล้า ปิมปามีเค้าประพิมประพายอ้ายหมารอยไม่น้อย แต่โครงหน้าเป็นเส้นโค้งนุ่มนวลกว่า และปากกับตา…ส่องสะท้อนอะไรอยู่เร้นลับ

น้ำตาฉันเหือดหมดแล้วในตอนนั้น

มันคงหายไปกับธรรมชาติ กับแดด กับลม หรืออาจระเหยกลมกลืนไปกับเม็ดฝนที่เริ่มหล่นลงเบาๆ

ค่อยลดเสียงอ่อนลง

“แล้วปิมล่ะ กินหรือยัง”

“ยังค่ะ…ปิมว่าจะ…จะมากินกับพี่”

 

มันก็ไม่เลวนักหรอก ในเวลาที่มองเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพับเพียบกินข้าวอยู่ใกล้ๆ ปั้นข้าวจิ้มน้ำพริกในถ้วยแต่เบาๆ

ราวถูกฝึกมารยาทกุลสตรีมา

ฉันเสียอีก นั่งขดถวายส่องหน้า ใช้มือคีบผักต้มเข้าปาก ไม่นึกอยากจะกินมากนัก หากก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเด็กผมขอดจนเกินไป

ต้มผักจืดชืดไร้รสชาติ น้ำพริกเกือบอร่อยแต่ก็ไม่ หากนั่นก็รู้ว่าคงตั้งใจที่สุดแล้ว

“ปิม”

“คะ”

“เอาข้าวไปอีกสิ” ผลักกระติ๊บข้าวเหนียวให้อีก “เผ็ดไม่ใช่หรือ”

“…ค่ะ”

“นี่ทำเองหมดหรือ แล้ววันนี้ยายไปไหน”

“ยายไปสุขศาลาค่ะ ให้ปิมหากินเองมื้อนี้”

“อ้อ”

“…มันคงไม่ค่อยอร่อย”

“ก็ลำดี” ฉันตอบไป อดเวทนาในใจไม่ได้

เด็กผมขอดคงคิดถึงพี่ชาย จนอยากให้ฉันผู้ซึ่งเป็นญาติผู้พี่ ได้ทำหน้าที่แทน

ดั่งคาดไว้ ได้ยินคำชม ใบหน้าก็ผ่องใสขึ้นทันตา รีบบอก

“ถ้าพี่ชอบ…ปิมจะทำมาอีกบ่อยๆ”

พยักหน้า เท่านั้น ดวงตาสีน้ำตาลก็เปล่งปลั่งขึ้นอีก

 

ฝนยังคงโปรยสายลงมาเรื่อยๆ มองเห็นเหมือนวุ้นเส้นโปร่งใส แทบจะไร้เสียง นอกจากจะตั้งใจฟังให้ดีๆ

อิ่มข้าวกันแล้ว ปิมปาเก็บถ้วยชามไปล้างจนสิ้น แล้วยังรินน้ำใส่แก้วมาให้ ก่อนจะกลับมานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ

และไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้ตัวอีกครั้ง ฉันก็นั่งโอบเด็กผมขอดไว้ในอ้อมแขน

มองดูที่พ้นฟากฝั่งลำน้ำไป

นั่งดูท้องทุ่งในสายฝนด้วยกัน

ไร้คำพูด ไร้บทสนทนา ราวว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและเรียบง่าย

สัมผัสได้ถึงเนื้อตัวอุ่นผ่าวจนรู้สึกสบาย

และเด็กผมขอดก็ซบหัวลงกับไหล่

 

“พี่คะ”

“หืมม์”

“พี่ชอบกินอะไรอีกบ้างคะ”

“?”

“ถ้าพี่ชอบกินอะไร ปิมจะได้หัดทำ ถ้าวันเสาร์อาทิตย์อย่างนี้ ปิมจะได้เอามาให้พี่อีก”

โธ่เอ๋ย อดยกมือลูบผมไม่ได้ ฟังเสียงรู้ว่าตั้งใจอย่างจริงจัง

“อะไรก็ได้ พี่กินได้หมดแหละ”

“ไม่จริงสักหน่อย” เสียงใสค้าน “ยายบอกว่า พี่กินยากกินเย็น…อะไรๆ ก็ไม่เคยชอบ”

“อ้าว” อดหัวเราะไม่ได้ “ยายร่อยพูดรึ”

“ค่ะ แต่ยายพัดก็ว่าเหมือนกัน”

“เอ๊ะ” ฉันแกล้งทำเสียงแข็งขึ้น “แล้วนี่ทำไมปิมได้ฟังเรื่องพี่เยอะ…แอบเล่าขวัญพี่หรือ?”

“มะ…ไม่ใช่” ร่างไหวขึ้นทันที “ปิมแค่…แค่อยากรู้เรื่องพี่ ก็เลยถามเอากับยาย”

“ยังงั้นหรือ”

อะไรสักอย่างไหลผ่านเข้ามาในอกฉับพลัน

มันอาจเป็น…น้ำเสียงนั้น ที่แสดงความอาทรห่วงหา และแน่ชัดว่าไร้จริตมายา เต็มไปด้วยความจริงใจ

เด็กผมขอด เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เคยรู้ว่า ชีวิตที่ผ่านมา ฉันไปประสบพบเจออะไรมาบ้าง ดูเหมือนสำหรับเด็กหญิง ฉันยังคงเป็นคนเก่ง เป็นคนดี

เป็นคนที่จะเป็นตัวแทนของพี่ชายได้

…ญาติผู้น้องคงจะคิดเช่นนั้น เท่าที่ฉันเข้าใจ

แต่ในอกฉันนี่สิ จะซื่อใส หรือขุ่นข้นเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านหน้าเราไปในขณะนี้…

…ดูแต่สิ่งที่ฉันทำ

ก้มลงกระซิบกับหัวกระหม่อมนั้นว่า “ขอบคุณนะ ที่ห่วงพี่”

แล้วรั้งร่างนั้นให้เข้าชิดใกล้ มือหนึ่งลูบไล้ไหล่กลมกลึงเบาๆ พลางปลายนิ้วเฉียดเข้าใกล้เนินอกขาว ราวไม่ได้ตั้งใจ