ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต/Mercedes-AMG ‘C 43’ สปอร์ตสุดหล่อ-แรงจัด

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ /สันติ จิรพรพนิต [email protected]

 

Mercedes-AMG ‘C 43’

สปอร์ตสุดหล่อ-แรงจัด

 

“หล่อ-มากกกกกก”

เสียงอุทานในใจของผมเพียงแว้บแรกที่เห็น “Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe” รถตระกูลตัวแรงของค่ายดาวสามแฉก ที่ได้รับมาทดสอบ

“Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe” ถือเป็น AMG ตัวล่าสุดที่ทำตลาด เป็นรุ่นประกอบในประเทศ ที่สำคัญไทยเป็นประเทศแรกด้วยที่ได้สิทธิ์ประกอบรถ AMG นอกเหนือไปจากบ้านเกิดเยอรมนีของค่ายนี้

ก่อนหน้านี้ “Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe” รุ่นนำเข้ามาวาดลวดลายก่อนแล้ว ซึ่งได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง แต่ด้วยราคาที่ขึ้นไปทะลุ 5 ล้านบาท ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ตัดสินใจขึ้นไลน์ประกอบ

ผลที่ออกมาทำให้ราคาหายไปถึง 1 ล้านบาทเศษ

“เขียน” ไม่ผิดหรอกครับ ราคารุ่นประกอบในประเทศถูกกว่ารุ่นนำเข้าถึง 1 ล้านบาท

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าราคาที่หดหายไปนี้จะทำให้ “Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe” ถูกจับตามากขึ้น

โดยเฉพาะเศรษฐีวัยรุ่นเมืองไทย เพราะทั้งหน้าตา การตกแต่งภายใน-ภายนอก ได้กลิ่นอายรถสปอร์ตสุดๆ

 

หากมองผาดๆ “Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe” มีหน้าตาใกล้เคียงกับ “C 250 Coupe AMG Dynamic” เพราะใช้บอดี้เดียวกัน แต่จะต่างกันในบางจุด เช่น สัญลักษณ์ ตัวอักษร “C 43” ที่ท้ายรถ รวมไปถึงบริเวณแก้มที่ติดตัวอักษร “BiTURBO”

รวมไปถึงเนื้อในหลายๆ ส่วนที่มองจากภายนอกไม่เห็น เช่น ใช้อะลูมินั่มอัลลอยมาผสมกับเหล็กเพื่อลดน้ำหนักบริเวณฝากระโปงหน้า หรือระบบช่วงล่าง

ล้อที่มีขนาดใหญ่เป็น 19 นิ้ว AMG แบบ 5 ก้านคู่ คาลิปเปอร์เบรก AMG ด้านหน้าแบบ 4 พอร์ต หลัง 2 พอร์ต ขยายจานเบรกให้ใหญ่ขึ้นด้วย รวมถึงตกแต่งฝาครอบเครื่องยนต์ด้วยแถบสีแดง

กระจังหน้า diamond grille เป็นจุดเด่นของตระกูลตัวแรงอยู่แล้ว ตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ขนาดใหญ่ คาดด้านเส้นโครเมียม เชื่อมไปถึงดวงตาทั้ง 2 ข้างแบบ LED Intelligent Light System พร้อมระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System) และระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light)

ฝากระโปรงหน้าดูยาวขึ้น ประตูแบบไร้ขอบ กรอบกระจกมองข้างสีดำแบบลอยตัวจากตัวถัง ขอบตกแต่งสีดำเงาบริเวณด้านข้างตัวรถและกรอบหน้าต่าง เส้นสายด้านข้างยาวลงไปถึงซุ้มล้อหลัง พร้อมปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อพร้อมตัวแบ่งตรงกลาง

แนวหลังคาลาดลงรับกับแนวกระจกบานหลังที่ออกจะเล็กอยู่สักหน่อย

ประตูหลังอาจจะงงๆ หน่อย เพราะไม่มีที่เปิดจากด้านนอก ได้รับรถมาคราแรกก็พยายามหาแต่ก็ไม่เจอ จึงใช้การสอดเท้าเข้าใต้รถ หรือต้องกดเปิดจากรีโมต

สรุปแล้วคือไม่มีปุ่มเปิดจากด้านหลังรถจริงๆ นั่นแหละ

 

ด้านในหายห่วงครับพะยี่ห้อ “Mercedes-AMG” แล้วหล่อโฮกแน่นอน เน้นโทนดำตัดด้วย AMG Carbon-fibre และอะลูมิเนียม

พวงมาลัย AMG Performance ทรงสปอร์ตท้ายตัด ตกแต่งด้วย DINAMICA microfibre เย็บด้ายแดง พร้อมระบบปรับการทำงานตามระดับความเร็ว

เบาะนั่งหนังสีดำเดินเส้นขอบด้ายแดง ปรับได้หลากหลายรูปแบบตั้งแต่เบาะนั่ง พนักพิงหลังจนถึงหมอนรองศีรษะ พร้อมหน่วยความจำ และระบบฮีตเตอร์

เรือนไมล์ทรงสปอร์ต 2 ช่องขนาดใหญ่ พื้นลายตราหมากรุกเอกลักษณ์ของ AMG ตรงกลางเป็นจอแสดงผลแบบดิจิตอลบอกข้อมูลต่างๆ ครบถ้วน

ขยับไปทางซ้ายเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ ต่ำลงมาเป็นช่องแอร์ทรงกลม 3 ช่อง ลงมาอีกนิดเป็นปุ่มปรับการทำงานต่างๆ เช่น ระบบแอร์ มีนาฬิกาทรงกลมเล็กๆ ดูคลาสสิคไปอีกแบบ

บริเวณตำแหน่งเกียร์เป็น Controller ปรับเครื่องเสียง ปุ่มปรับระบบเครื่องยนต์-ช่วงล่าง ฯลฯ โดยเกียร์ขยับไปอยู่หลังพวงมาลัยด้านขวา แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะขับไม่สนุกเพราะมีแป้นแพดเดิลชิพ ให้เล่นเกียร์หลังพวงมาลัยได้

วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester ไฮเอนด์สุดๆ

หลังคาเป็นพาโนรามิกซันรูฟ

ส่วนเบาะหลังอาจจะนั่งลำบากนิดหนึ่งสำหรับคนตัวโตๆ เพราะแม้เบาะรองนั่งจะรับต้นขาได้พอดีๆ แต่เลกรูมเหลือน้อยไปหน่อย เช่นเดียวกับเฮดรูม

 

มาถึงหัวใจเป็นเครื่องวี 6 เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2,996 ซีซี ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตัน-เมตร มาค่อนข้างเร็วที่ 2,000-4,200 รอบต่อนาที

รุ่นนี้จรวดทางเรียบของจริง ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ที่น่าสนใจคือกระบอกสูบเคลือบสารนาโนสไลด์ (NANOSLIDE coating) สารหล่อลื่นชนิดเดียวกับกับที่ใช้ในรถฟอร์มูล่าวันของทีม MERCEDES-AMG PETRONAS ช่วยลดการเสียดสีภายในกระบอกสูบ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

ระบบช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL แบบสปอร์ต

ส่วนระบบเกียร์มีลูกเล่นที่ซ่อนไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนเกียร์ลงได้หลายระดับ สามารถใช้เทคนิคเพื่อเพิ่มกำลังให้กับรถเพื่อเร่งเครื่องเป็นระยะสั้นได้เร็วขึ้น

ระบบจำลองการเหยียบคลัตช์แบบ 2 จังหวะ (double-declutching function) ขณะเปลี่ยนเกียร์ลงในโหมด Sport และ Sport+

มีโหมดการทำงานที่จำลองการทำงานของรถยนต์เกียร์ธรรมดา (Manual Mode) ส่งผลให้ความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปตามที่ผู้ขับเลือกใช้ โดยไม่ปรับขึ้นตามความเร็วหรือรอบเครื่องยนต์ เรียกว่าลากเครื่องกันได้เต็มเหนี่ยว

 

การทดสอบของผมในทริปนี้ถือว่าโชคร้ายหน่อย เพราะแทบตลอดเวลาที่รถอยู่กับผมเจอสภาพฝนตกหนักบ้าง เบาบ้าง ทำให้ไม่สามารถเรียกความเร็วมาได้เต็มที่

เพราะถึงจะมั่นใจในสมรรถนะรถแต่ไม่ค่อยไว้ใจสภาพถนนลื่น รวมถึงเพื่อนร่วมทางอื่นๆ

อัตราเร่งช่วงต้นหายห่วงเพราะได้มีโอกาสลองหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการออกจากสัญญาณไฟ หรือออกจากด่านจ่ายเงินทางด่วน

นอกจากความเร็วที่ปรู๊ดปร๊าดแล้ว เสียงจากท่อไอเสียกระหึ่มได้อารมณ์สปอร์ตจริงๆ

ความเร็วกลางระดับ 120-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาเร็วมาก ขณะที่เสียงลมเข้ามาไม่มากนัก

ช่วงล่างหายห่วงครับ หรือถ้าไม่มั่นใจในยามความเร็วสูงๆ ผู้ขับขี่ปรับได้ถึง 3 โหมดคือ Comfort, Sport และ Sport+

โหมด Sport และ Sport+ รถจะมีอาการกระด้างนิดๆ แต่ที่ได้มาถึงความหนึบแน่นที่มากขึ้น ถ้าขับทั่วๆ ไป Comfort ก็เหลือเฟือแล้ว

แต่หากต้องการใช้ความเร็ว หรือขับบนถนนที่มีทางโค้งเยอะๆ โหมด Sport และ Sport+ น่าจะทำให้ขับได้สนุกและมั่นใจมากขึ้น

 

ส่วนโหมดการขับขี่มีให้เลือก 5 โหมด คือ Eco, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual ที่ผมลองขับหลักๆ เป็น Comfort และ Sport เกินพอแล้วครับ

อย่างอื่นๆ เช่น ความสะดวกสบายและความปลอดภัย ครบถ้วนทั้งกล้องมองรอบคันและอื่นๆ

อีกจุดที่ถือว่าดูเท่ดีคือระบบป้อนเข็มขัดนิรภัย เพราะเมื่อเข้าไปในรถปิดประตูแล้ว บริเวณเสาบีจะยื่นแท่นที่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยออกมาเพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าดึงมาคาดได้สะดวกมากขึ้น เพราะเสาบีเยื้องไปอยู่ด้านหลังค่อนข้างมากนั่นเอง

โดยรวมแล้ว “Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe” รุ่นประกอบในประเทศไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับรุ่นนำเข้า เป็นรถที่ขับสนุก ขับเท่ มีแต่คนเหลียวมองเพราะความสวยของบอดี้ภายนอก

สนนราคาอยู่ที่ 4,140,000 บาท ถูกกว่ารุ่นนำเข้าถึง 1,050,000 บาท