ดร.ปรเมธี วิมลศิริ ปิดฉากชีวิต เลขาฯ สภาพัฒน์ อำลาบ้านสุริยานุวัตร

นับเป็นการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ที่สั่นสะเทือนรัฐบาล คสช. ที่สุดครั้งหนึ่ง

เมื่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 เมษายน 2561 ระบุว่า ให้นายสมชัย สัจพงษ์ ย้ายจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ไปเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ และย้ายนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสภาพัฒน์ ไปเป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ไม่ทันข้ามคืน “สมชัย” ประกาศ “ลาออก” โดยแจ้งกับผู้ใกล้ชิดว่า “ไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์”

ขณะที่ “ปรเมธี” ซึ่งรู้ตัวล่วงหน้าเพียง 12 ชั่วโมง ว่าจะต้อง “ถูกย้าย” ออกจาก “บ้านสุริยานุวัตร” ที่ผูกพันมากว่า 31 ปี บอกคนใกล้ชิดแต่เพียงว่า “ถ้าหากไปอยู่ที่ใหม่แล้วทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้ ก็จะทำให้ดีที่สุด”

คำตอบของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ถึงปฐมเหตุการย้าย คือ “ปรเมธี เป็นคนซื่อสัตย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต้องการคนแบบนี้ไปบริหาร”

 

“ปรเมธี” เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล คนที่ 15 เปิดใจอำลาชาวสภาพัฒน์หลายร้อยชีวิต ที่หน้าบ้านสุริยานุวัตร

“ผมเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ ต้องไปพูดหลายเวที ทั้งเล็ก ใหญ่ ในต่างประเทศ คนฟังเป็นพันคน เดินทางพูดมาทั่วโลก ไม่เคยต้องกลัวอะไร แต่วันนี้พูดยากที่สุด”

“อีกไม่กี่วันก็คงถึงวันที่ต้องเดินออกจากบ้านสภาพัฒน์ไป พวกเราที่ยังอยู่ในบ้านสภาพัมน์ ก็ต้องต่อสู้ ตามล่าฝันต่อไป ต้องบอกตรงๆ ว่าในสองสามวันแรกๆ ที่มีข่าว บอกอย่างไม่อายเลยว่า นึกถึงวันที่ต้องเดินจากที่นี่ไป ก็น้ำตาไหล (หยุดพูดเสียงเครือ) น้ำตาไหลตลอดหลายๆ วัน”

ปรเมธีพูดต่อว่า “ต้องบอกว่าเสียใจ ไม่ใช่ว่าตำแหน่งที่ไปใหม่จะไม่ดี แต่อยู่ที่นี่มานาน ด้วยความรักผูกพันกับที่นี่ จะให้…ไปตำแหน่งที่มันใหญ่โต ยังไงก็ต้องเสียใจ”

เขาย้อนไปเมื่อ 31 ปีก่อน “ยังจำได้เหมือนเมื่อวานนี้เอง ที่เรียนจบปริญญาโท แล้วมารายงานตัวที่สภาพัฒน์ชั้น 5 กองวางแผนส่วนรวม สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6”

“จากนั้น ท่านเสนาะ อุนากูล เลขาธิการสภาพัฒน์ คนที่ 5 และคนที่ 7 ส่งไปเรียนปริญญาเอก ที่แคนาดา กลับมาอยู่กองวิเคราะห์ประมาณการเศรษฐกิจ เป็นลูกน้องนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม อดีตเลขาธิการที่ชาวสภาพัฒน์ภูมิใจอีกคนหนึ่ง”

“สมัยเป็นเจ้าหน้าที่เด็กๆ จนถึงผู้บริหารระดับกลาง เป็นผู้อำนวยการ ทำงานบ้าพลัง บ้างานมาก อยู่ดึกๆ ดื่นๆ ชั้น 5 อยู่คนเดียว ทั้งสำนักงาน กลับเป็นคนสุดท้าย ได้ทำงานอย่างมีความสุขโดยตลอด”

“ส่วนตัวชอบที่นี่ ได้ทำงานใช้ความรู้ เป็นมันสมองของประเทศ ทุกวันคิดแต่สิ่งดีๆ ทำให้ประเทศพัฒนาดีขึ้น มีเรื่องที่เป็นประโยชน์ เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทุกวันมีโจทย์ใหม่ๆ ต้องหาข้อมูล คิดทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ ตอบโจทย์การสร้างสรรค์ประเทศ”

“เป็นหน่วยงานที่สบายใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องทุจริต เอื้อประโยชน์ใคร มีความโปร่งใส เป็นกลางจริงๆ เป็นหน่วยงานตัวอย่างหนึ่งของประเทศ”

“เป็นองค์กรที่ไม่ใหญ่นัก เป็นสำนักงานเล็กๆ อยู่กันอย่างพี่ๆ น้องๆ ด้วยความเอื้ออาทร อยู่ที่นี่เหมือนบ้านจริงๆ ใครมีโอกาสทำงานที่นี่ ถือเป็นกำไรชีวิต”

 

เขากล่าวถึงงานจานร้อนที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ว่า ได้ทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 จัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ฉบับแรกของประเทศไทย ได้ทำงานปฏิรูป และได้รับความไว้วางใจให้เป็นสำนักงานยุทธศาสตร์ชาติ

การงานแห่งชีวิต ที่ทำให้เขาเป็นที่รัก-เคารพของชาวสภาพัฒน์ คือความตั้งใจที่จะปรับโครงสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง จัดอัตรากำลังคนเพิ่มขึ้นกว่า 100 คน มีการปรับ พ.ร.บ.สภาพัฒน์ ซึ่งไม่เคยถูกแก้มา 4 ทศวรรษ

กระนั้นก็ยังมีงานที่เขายังทำไม่สำเร็จ คือ “ต้องการให้ข้าราชการได้ทำงานแบบ work life balance แต่ดูเหมือนทุกคนยังทำงานเยอะกว่าเดิม และการจัดตั้งส่วนการวิจัย เพื่อติดอาวุธทางสมองให้องค์กร”

เป็นที่รู้กันว่ากิจกรรมนันทนาการที่ทำให้เลขาธิการคนที่ 15 มีความสุข-สนุกไปกับเพื่อนข้าราชการ มี 2 อย่าง คือ ทีมฟุตบอล และวงดนตรีสภาพัฒน์

“มีเรื่องที่ภูมิใจ ดีใจ คือทีมฟุตบอล ที่ล้มลุกคลุกคลาน เคยแข่งแพ้กลับมา 20-0 แต่ปัจจุบันเป็นทีมที่แข็งแกร่ง มีถ้วยชนะเต็มห้อง”

ก่อนไปตั้งทีมใหม่ “ปรเมธี” ถูกนักข่าวทำเนียบรัฐบาล ท้าดวลแข้ง และเป็นไปตามคาด ทีมสภาพัฒน์ที่เขาเป็นกัปตันทีม คว้าชัยชนะไปด้วยสกอร์ 8-3 ทิ้งทีมนักเตะทำเนียบไม่เห็นฝุ่น

“ปรเมธี” เป็นเลขาธิการที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่หลงใหลของเพื่อนข้าราชการทั้งใน-นอกสภาพัฒน์ เขาบอกความทรงจำว่า “ในการทำงานที่ผ่านมาได้รับไมตรีจิต ความเอื้ออาทร จากเพื่อน น้อง พี่ๆ ทุกคน มีความสุข สนุกสนาน ผ่านความทุกข์หลายฉาก หลายโมเมนต์ด้วยกัน”

 

ถึงนาทีที่เขาต้องไปจริงๆ แล้ว เขาบอกตัวเอง-เหมือนกับที่เคยบอกกับลูกน้องที่เคยมาเอ่ยอำลา “เวลาใครมาลาผม ว่าต้องไปทำงานที่อื่น ก็จะบอกเขาว่า ขอบคุณที่ได้มาทำงานร่วมกัน สิ่งที่เขาทำมีประโยชน์ต่อประเทศ ให้นำประสบการณ์จากสภาพัฒน์ไปใช้ที่อื่น อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ก็มีประโยชน์กับประเทศทั้งนั้น ขอให้คิดถึงส่วนรวม มีคุณธรรม”

“วันนี้ก็ต้องบอกกับตัวเองอย่างนั้น ไปที่ใหม่ก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ให้เสียชื่อเสียงของคนสภาพัฒน์”

คำสุดท้าย “ปรเมธี” บอกสั้นๆ ว่า “รักสภาพัฒน์ครับ”

ปิดฉากชีวิตเลขาธิการในบ้านสุริยานุวัตร ก่อนขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ในวังสะพานขาว ก้าวสู่ 3 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ