อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ : เกาหลีเหนือ ในเส้นทางสู่สันติภาพ?

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

“…จะไม่มีสงครามในคาบสมุทรอีกต่อไป และยุคใหม่แห่งสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…”

“…จะหยุดยั้งความเป็นปรปักษ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าบนบก ในทะเล และสูงขึ้นในอวกาศ รวมทั้งเขตน่านน้ำที่เคยเป็นจุดพิพาท จะต้องทำให้กลายเป็นเขตสันติภาพ (Peace Zone) อันจะเป็นหลักประกันให้กับเรือประมงของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะสามารถประกอบอาชีพได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ถูกกล่าวหาว่าทำการละเมิดน่านน้ำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นมาอีก…”

นี่เป็นคำแปลอย่างไม่เป็นทางการของ “คำประกาศปันมุนจอม” (Panmunjom Declaration) ที่ประกาศโดยผู้นำของเกาหลีใต้ ประธานาธิบดีมุน แจ อิน (Moon Jae-in) กับผู้นำเกาหลีเหนือ ประธานาธิบดี คิม จอง อึน (Kim Jong Un)

 

จุดเริ่มต้น

ในความคิดเห็นของผม คำประกาศปันมุนจอม ซึ่งหมายถึงป้อมปันมุนจอม ป้อมที่อยู่ตรงกลางระหว่างเส้นกั้นระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้เมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว

อีกทั้งป้อมปันมุนจอมนี่เองที่เป็นที่มาของสัญลักษณ์ของการเผชิญหน้าของสงครามเกาหลี (Korean War) ในปี 1950 ระหว่างฝ่ายชาติตะวันตกที่นำโดยกองทัพสหรัฐอเมริกากับกองทัพเกาหลีเหนือซึ่งในขณะนั้นสาธารณรัฐประชาชนจีนให้การสนับสนุนทั้งทางการเมืองและการทหารอยู่

สงครามเกาหลีที่จบลงเมื่อปี 1953 แต่เป็นการจบลงของสงครามร้อน (Hot War) แต่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็น (Cold War) อันมีเนื้อหาของสงครามที่หมายถึงสงครามตัวแทนระหว่างฝ่ายโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐอเมริกากับโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งยังมีสองขั้วสำคัญคือ สหภาพโซเวียตในขณะนั้นและจีนในช่วงเวลานั้น

สงครามที่มีการเผชิญหน้าทางด้านกำลังทหารและอาวุธ อีกทั้งเกาหลีเหนือยังเป็นตัวแทนของลัทธิคอมมิวนิสต์ของโลกโดยเฉพาะทางด้านทวีปเอเชีย

ค่ายปันมุนจอมและเส้นขนานที่ 38 แบ่งเกาหลีเป็นสองฝ่าย ในช่วงเวลานั้น บางฝ่ายที่เชื่อในทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) เชื่อว่าเกาหลีเหนือจะบุกยึดเกาหลีใต้

แต่ในความเห็นของผม เกาหลีเหนือโดยความช่วยเหลือของจีนต้านทานการบุกเข้าไปในเกาหลีเหนือโดยกองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาขณะนั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

เส้นขนานที่ 38 เป็นรูปธรรมของสงครามเย็นและความเชื่อในทฤษฎีโดมิโนซึ่งบางฝ่ายเชื่อว่าเวียดนามเหนือจะบุกเวียดนามใต้ เมื่อเวียดนามใต้เป็นคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์จะเข้าครอบครองไทยและต่อไปที่มาเลเซียและสิงคโปร์

ดังนั้น จึงมีเส้นขนานที่ 17 แบ่งแยกเวียดนามเป็นเวียดนามเหนือที่นำโดยท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเวียดนามใต้ที่นำโดยรัฐบาลหุ่นเชิดของสหรัฐอเมริกา

ทว่าในความเห็นของผม เส้นขนานที่ 17 ในเวียดนามคล้ายกับเส้นขนานที่ 38 ในเกาหลี กล่าวคือ กองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาบุกเข้าไปยึดฮานอยเมืองหลวงของเวียดนามไม่สำเร็จ จึงมีการเจรจาแบ่งประเทศกันที่เส้นขนานที่ 17

อย่างไรก็ตาม เวียดนามรวมประเทศได้สำเร็จเมื่อสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ใช้นโยบายการถอนตัวออกจากเวียดนามที่เรียกว่า Vietnamization หากใครได้ไปชมภาพต่างๆ ที่นักข่าวต่างประเทศถ่ายภาพเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สงครามในนครโฮจิมินห์ ชัยชนะของเวียดนามเหนือคือ การที่รถถังเวียดนามเหนือบุกพังประตูทำเนียบรัฐบาลเวียดนามใต้สมัยนั้น

ถึงกระนั้นก็ตาม เส้นขนานที่ 38 ในเกาหลียังคงอยู่เรื่อยมา มีการเจรจาระหว่างเกาหลีทั้งสองฝ่าย มีบทบาทของมหาอำนาจทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปเกี่ยวข้อง อาทิ การเดินทางด้วยรถไฟขบวนพิเศษของประธานาธิบดีคิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือไปเยือนจีนและร่วมเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีน การเดินทางเข้าไปเจรจากับตัวแทนรัฐบาลเกาหลีเหนือของผู้อำนวยการซีไอเอของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์

จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา มีคำประกาศปันมุนจอมดังกล่าวแล้วข้างต้น

 

ข้อสังเกตบางประการ

ผมมีข้อสังเกตบางประการต่อความพยายามยุติสงครามระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่ยาวนานเกือบ 80 ปีดังนี้

ประการแรก เท็กต์ (text) ของคำประกาศปันมุนจอม ช่างเป็นคำที่เรียบง่ายแต่ตรงประเด็นที่สุดคือ จะไม่มีสงครามในคาบสมุทรนี้อีกต่อไป และยุคใหม่แห่งสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ประการที่สอง สัญญะ ของคำประกาศปันมุนจอม มีความหมายที่แจ้งบทบาทของรัฐทั้งสองฝ่ายคือ ร่วมมือกันหยุดยั้งความเป็นปรปักษ์ของทั้งสองฝ่ายในทุกพื้นที่ (space) คือทั้งบนบก ในทะเล และสูงขึ้นไปในอวกาศ และประกอบสร้าง (construct) เขตสันติภาพ (Peace Zone)

สัญญะ บ่งบอกถึงรูปธรรมคือ เป็นหลักประกันให้กับเรือประมงของทั้งสองฝ่าย ที่จะสามารถประกอบอาชีพได้อย่างปลอดภัย ตรงนี้สำคัญมาก เพราะรูปธรรมของความขัดแย้งที่เกิดง่ายไม่ได้มาจากกิจการทางทหาร เช่น การซ้อมรบ การทดลองขีปนาวุธ แต่มาจากการประกอบอาชีพประมง ซึ่งเกิดปัญหาง่ายๆ เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ในท้องทะเลเดียวกัน ใช้ทรัพยากรทางทะเลร่วมกัน คนเกาหลีเหมือนกันเข้าใจกันง่ายกว่าคนนอกและพวกเป็นอื่น

ประการที่สาม จากรายงานของสื่อมวลชน ซึ่งสรุปและเผยแพร่ผลการสำรวจของ Korea Research Center Poll คนเกาหลีใต้เกือบ 80% “เชื่อมั่น”1 ในคำสัญญาของประธานาธิบดีคิม จอง อึน ผู้นำผู้เยาว์วัย ฉลาดและมีท่าทีเป็นมิตรกับคนเกาหลี

 

แน่นอน การเจรจาสันติภาพระหว่างสองเกาหลีไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีการทำงานอย่างลับๆ กันอยู่ ท่ามกลางโอกาสที่จะเกิดการเผชิญหน้าทางทหารมีมาตลอด ทั้งการซ้อมรบอย่างต่อเนื่องระหว่างกองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา การคงไว้ซึ่งกองกำลังทหารสหรัฐอเมริกาในเกาหลีใต้หลังจากคำประกาศปันมุนจอม ไม่เพียงแต่เท่านั้น รัฐบาลเกาหลีใต้ชุดที่แล้วยังได้ผลักดันระบบป้องกันขีปนาวุธในระบบพิกัดตำแหน่งสูง (Terminal High Attitude Area Defence-THAAD) ซึ่งพยายามดึงญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ด้วย

ส่วนเกาหลีเหนือได้ทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมการพัฒนาอาวุธดังกล่าวให้มีผลในการยิงระยะไกลตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม นี่คือจุดเริ่มต้นของสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีและของโลก