รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว /”ศ. ดุสิต”/ดวงซับดวงซ้อน(ต่อ)

รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว  “ศ. ดุสิต”

อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น!

เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด ‘คลังโหร’

 

ดวงซับดวงซ้อน(ต่อ)

 

เพื่อความสะดวกในการศึกษา ผมจะนำดวงตัวอย่างมาวางตรงนี้ให้คุณเห็นชัดๆ กันอีกที

รู้ดาวพุธแล้วทีนี้มาดูดาวศุกร์ที่พุธกอดแน่นอยู่ด้วย ศุกร์นั้นเป็นเจ้าภพมรณะกับสหัชชะของลัคนาคู่ (ตุลกับพฤษภ) แต่ในลัคนาจรเป็นเจ้าภพ ปุตตะ-วินาสน์ เมื่อจับคู่กันแล้วจึงเป็น–

ปุตตะ-มรณะ, วินาสน์-สหัชชะ

อ่านจากลัคนาคู่ก็อ่านได้ว่า  การเดินทางไปยังต่างถิ่น (สหัชชะ+วินาสน์) และเกิด (ปุตตะ) ความสูญเสีย (มรณะ)

เมื่อเอาความหมายทั้งหมดนี้มารวมกันเข้าก็จะอ่านได้ว่า…

“แฟนของเจ้าชาตาเดินทางไปกับเพื่อน (สหัชชะ) เพื่อแสวงหาลาภผลยังต่างถิ่นต่างแดน (วินาสน์แปลว่าต่างถิ่นต่างแดนได้) แต่การแสวงหานั้นไม่ได้ผลดีทำให้เกิดการขาดทุน (มรณะ) ขึ้น จึงอาจทำให้แฟนเกิดความหมกมุ่นจนลืมที่จะติดต่อกับเจ้าชาตาได้

ในกรณีนี้เราอาจจะใช้การสันนิษฐานได้อีกว่า กิจกรรมที่แฟนไปลงทุนแสวงหาลาภนั้นคืออะไร คำตอบที่น่าจะเป็นก็คือ การพนัน (ในบ่อนกาสิโน) เพราะการสูญเสีย (มรณะ) นั้นเกิดที่ภพปุตตะซึ่งแปลว่า การเสี่ยง ที่มีความหมายของความบันเทิงเริงใจด้วย และที่ต้องสันนิษฐานเช่นนี้ก็เพราะขณะนี้ที่ราศีตุลนั้นมี ราหู จรกุมอังคารกับเสาร์อยู่ที่นั่น ราหูคืออบายมุขเราก็รู้กันอยู่แล้ว เสาร์นั้นคือเจ้าเรือนมรณะของลัคนาจร และอังคารก็เป็นเจ้าเรือนอริ-ลาภะของลัคนาจรด้วย จึงสามารถที่จะนำสิ่งนี้มาพิจารณาในเชิงพยากรณ์ได้เช่นกัน

และถ้าจะอ่านกันให้ลึกไปกว่านี้อีก เราก็จะเห็นได้ว่า ราศีตุลซึ่งเป็นภพปุตตะ (ลัคน์จร) ภพมรณะ (ลัคน์คู่) นั้น ตัวจริงเสียงจริงก็คือเป็นภพ ตนุ ของลัคน์เดิมนั่นเอง แสดงว่าเหตุที่เกิดขึ้นในขณะนี้ย่อมส่งผลกระทบถึงตัวเจ้าชาตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

 

ที่จริงถึงตรงจุดนี้แล้วก็น่าจะยุติการทำนายได้แล้ว แต่อาจจะมีคำถามมาอีกว่า “รู้ละว่าแฟนของเขาไปติดธุรกิจของเขาอยู่ แต่เขาจะกลับมาหาเจ้าชาตานี่อีกหรือเปล่าล่ะ?”

คำตอบสำหรับคำถามนี้ก็คือ…

“กลับครับ เพราะเรือนมังกรที่พุธไปเกิดเรื่องอยู่นั้นเป็นภพพันธุของลัคนาเดิม แม้ปีนี้จะเป็นมรณะจรก็เป็นเพียงขณะนี้เท่านั้น แถมขณะนี้ พฤหัส-จันทร์ ตัวจรก็ยังโคจรไปกุมลัคนาจรอยู่ด้วย แฟนจึงยังไม่หนีไปไหนหรอกครับ ต้องกลับมาแน่”

ผมแจกแจงเรื่องนี้เสียยาวเหยียดละเอียดยิบเพื่อให้คุณๆ ที่ยังเป็น “มือใหม่” อยู่ได้รู้จักวิธีอ่านดวงที่มีความซับซ้อนไว้บ้าง และคิดว่าเรื่องนี้คงจะให้ประโยชน์แก่คุณๆ ได้ไม่มากก็น้อยละครับ ได้นิดหน่อยผมก็ยินดีแล้ว

ก็เห็นจะต้องขอจบเรื่องนี้ไว้ตรงนี้ครับ

 

อ่านดวงซ้อนดวง

 

คําว่า “ดวงซ้อนดวง” นี้ก็คือการนำเอาดวงสองดวงมาวางซ้อนกันแล้วอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกมานั่นเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราก็ได้ทำกันอยู่บ่อยๆ นั่นคือการอ่านดาวจรที่จรอยู่ในปัจจุบันกับดวงเดิมที่เราต้องการจะดูนั่นแหละ เพียงแต่ดาวจรที่เราใช้ดูประกบกับดวงเดิมนั้นเราไม่ได้ทำเป็นรูปดวงชาตาขึ้นมาเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่มันก็คือดวงๆ หนึ่งที่เราเอามาซ้อนกับดวงเดิมแล้งก็ดูกันไปจนเคยชิน ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเรากำลังดูดวงซ้อนดวง

ในการดูดวงจรด้วยดาวจรตามปกติที่ว่านี้นั้น การดูมีหลากหลายแบบมากทีเดียว สุดแต่ว่าใครถนัดอย่างไหนก็เอาแบบนั้นมาดู

เช่น บางคนก็ดูโดยไม่ได้ตกแต่งดวงเดิมที่นำมาดูเลย คือใช้ “ดวงเดิม” นั่นแหละยกเอามาดูดื้อๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น บางคนก็เปลี่ยนแปลงดวงโดยวางลัคนาจรขึ้นใหม่ตามสูตรที่ได้ร่ำเรียนมา แบบใครก็แบบมัน ทำดวงเดิมเสร็จแล้วจึงนำเอาดวงนั้นมาประกบกับ “ดาวจร” ที่เป็นอีกดวงหนึ่ง (คือดวงดาวจรประจำวัน) แล้วจึงดูเป็นเรื่องเป็นราวออกมา

มีหลายคนที่ยังถกเถียงกันอยู่จนบัดนี้ก็ยังไม่ยุติว่า ใช้อย่างไหนจึงจะถูกต้อง จะใช้ดวงเดิมโดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรือว่าจะต้องทำดวงเดิมให้เป็นปัจจุบัน (คือหาลัคนาจร) เสียก่อนจึงค่อยเอามาประกบกับดาวจร?

แต่ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งไปสนใจกับเรื่องปัญหาโลกแตกอย่างนี้เลยครับ ปล่อยให้ปราชญ์ทั้งหลายท่านขบปัญหากันไปก่อนดีกว่า ใครถนัดใช้อย่างไหนก็ใช้อย่างนั้นไปเป็นดีที่สุด

ข้อสำคัญก็คือต้องรู้จักวิธีใช้ให้ถูกต้อง นี่ต่างหากครับที่เป็นจุดสำคัญ

 

แต่ถ้ามาถามผมว่า ผมใช้แบบไหน ผมก็ต้องตอบว่า ผมถือตามหลักของพุทธศาสนาครับ คือทุกสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง คือไม่คงที่อยู่ได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที

ชีวิตมนุษย์เราก็เหมือนกัน จะหลีกหนีกฎนี้ไปไม่พ้น ชีวิตต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่มีหยุดนิ่ง ถ้าเราต้องการจะดูชีวิตของเราในปีปัจจุบัน แต่เราเอาดวงที่ผูกไว้เมื่อตอนเราเกิดใหม่ๆ ซึ่งห่างจากปัจจุบันตามอายุของเรานี่แหละ บางคนห่าง 40-50 ปี บางคนห่าง 70-80 ปี ระยะเวลาที่ห่างกันขนาดนี้ชีวิตจะไม่เปลี่ยนไปบ้างหรือครับ แล้วเราเอาดวงที่มีดาวสถิตอยู่เมื่อ 70-80 ปีก่อนโน้นมาดูกับดาวในปัจจุบัน คุณคิดว่ามันจะเข้ากันดีหรือเปล่า?

ดังนั้น คำตอบของผมในปัญหานี้ก็คือ สำหรับผมถ้าจะดูดวงจร ผมจะกำหนดดวงเดิมให้อยู่ในฐานของปัจจุบันเสียก่อน แล้วจึงจะนำเอามาประกบกับดาวจรในขณะนี้ต่อไปเพื่อหาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกวี่วัน

การเปลี่ยนดวงให้เป็นปัจจุบันผมไม่ได้ใช้วิธีเปลี่ยนดาวนะครับ ผมเปลี่ยนภพแบบง่ายๆ ด้วยการวางลัคนาจรแบบสามัญนี่แหละ ผมมีเหตุผลที่จะทำอย่างนี้ก็เพราะว่า ลัคนาจรที่วางขึ้นตามสูตรสามัญนี่แหละ คือจุดสำคัญของดวงชาตานั้นๆ ด้วย (คือดวงที่เรานำมาดูนั่นแหละ) เพราะเราจะต้องใช้ลัคนาจรตัวนี้แหละเป็นที่ตั้งภพของ “ดาวจร” ในปัจจุบันละ

ด้วยเหตุนี้ ดาวจรทุกดวงจึงมีหน้าที่ของตนซึ่งสามารถนำมาอ่านรวมกับภพของดวงเดิมได้อย่างสนิท ทำให้การพยากรณ์โดยดาวจรมีความสมบูรณ์ขึ้น

ดูดวงตัวอย่างสักดวงก็ได้ ดังนี้

 

เลขอารบิกที่วงล้อมเลขไทยในวงในอยู่นั้นก็คือดวงดาวจรนั่นเอง แต่ถ้าเราเอาดวงดาวจรเข้าไปซ้อนกับดวงในจริงๆ ก็คงสับสนกันแย่เลย ดังนั้น จึงต้องเอาล้อมไว้ข้างนอกอย่างนี้ แต่เราก็ต้องรู้ว่านั่นคือดวงอีกดวงหนึ่ง และมีลัคนากำหนดภพอยู่ที่ราศีธนู (ลัคนานี้ก็คือลัคนาสามัญหรืออายุจรนั่นเอง)

เรารู้กันอยู่แล้วว่า ในการดูดวงจรนี้มีกฎอยู่ว่าเราต้องใช้ “ตัวจร” เป็นหลัก เพราะตัวจรคือชีวิตในปัจจุบันที่เราต้องการรู้ เมื่อดวงจรก็มีภพของตัว ดวงเดิมก็มีภพของตัว เราก็เอาภพทั้งสองนี้ประยุกต์กันเป็นเนื้อเดียวก็จะได้ความหมายใหม่ออกมาให้เรารู้ถึงสภาวะในขณะนั้น และวิธีอ่านดาวจรนี้พวกเราก็เก่งกันทุกคนอยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องพูดถึง แต่ผมจะพูดถึง “หลัก” ของการอ่านดวงซ้อนดวงให้คุณเข้าใจชัดเจนกันเสียก่อน

การอ่านภพซ้อนนี้ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าภพของดวงเดิมนั้นคือ “กำพืด” ของภพดวงจรว่าภพนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ดังเช่นภพปัตนิของดวงจรนี้ก็คือภพกัมมะเดิมนั่นเอง (ราศีมิถุน) จึงอ่านว่า “กัมมะเป็นปัตนิ”

หมายความว่าถ้าปีนี้เจ้าชาตาจะกระทำกิจกรรมอันใด ถ้ากิจกรรมนั้นมีดาวปัตนินี้ส่งกระแสมาถึงกิจกรรมนั้นก็จะได้รับความร่วมมือดี

แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เราจะต้องรู้และนำเข้ามาผสมด้วย นั่นก็คือ… “ดาวเจ้าเรือน” ของภพเดิมที่เราต้องการรู้นั้นสถิตอยู่ที่ไหน ภพอะไร เพราะอิทธิพลของภพที่ดาวเจ้าเรือนนั้นสถิตอยู่ก็มีส่วนที่จะเข้ามาร่วมกับการพยากรณ์ครั้งนี้ด้วย

เช่นดวงตัวอย่างนี้ภพกดุมพะจรมีเจ้าเรือนคือดาวเสาร์ ภพนี้เดิมเป็นภพปุตตะ อ่านว่า “ปุตตะเป็นกดุมพะ” แต่ดาวเสาร์ในดวงเดิมนั้นไปสถิตที่ราศีตุลอันเป็นภพกดุมพะเดิมอยู่แล้ว เมื่อนำมาผสมกันก็จะมีอิทธิพลของกดุมพะเดิมแทรกเข้ามาด้วย

ทำให้อ่านได้ว่าในปีนี้ ภาวะรายได้ของเจ้าชาตานี้จะมีความราบรื่นดี มีรายได้ดี อย่างนี้เป็นต้น

 

ในการอ่านดวงจรตัวอย่างนี้ เราจะเห็นว่าที่ภพกดุมพะ (ราศีมังกร) นั้นมีดาวศุกร์จรไปสถิตอยู่ที่นั่น ศุกร์นั้นมีหน้าที่ในปีนี้คือ ลาภะ-อริ จรเข้ากดุมพะก็คือลาภะ-อริเข้ามาหารายได้ มือใหม่อาจจะงงที่มีทั้งอริทั้งลาภะ

แต่ถ้าอ่านตามกฎของ “ภาค” แล้วเราก็รู้ว่าขณะนี้ดาวศุกร์กำลังทำหน้าที่หนักไปทางลาภะมากกว่าอริ (ราศีมังกรอยู่ภาคเดียวกับลาภะ) ดังนั้น จึงอ่านได้ว่าเจ้าชาตากำลังมีรายได้ที่ดีอยู่ในปัจจุบัน

ถ้าคุณเข้าใจถึงวิธีอ่านแบบนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าคุณ ‘ผ่าน’ เรื่องนี้ไปได้อย่างฉลุยแล้ว คืออ่านเป็นแล้วนั่นเอง และเมื่ออ่านดวงซ้อนเป็นแล้วการอ่านดวงจรก็ไม่ใช่ของยากอะไรต่อไป เพราะดาวจรนั้นมีหน้าที่ตามภพที่ตนเป็นเกษตรอยู่ จรไปอยู่ภพไหนราศีไหนก็ดูเอาว่าภพนั้นราศีนั้นเป็นภพอะไร ผสมกับหน้าที่ของดาวจรแล้วจะเป็นอะไร เพียงแค่นี้ก็ได้ผลพยากรณ์ออกมาอย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย

ก็จบไปอีกแบบหนึ่งของการอ่านดวงซ้อน เรามาติดตามดูอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นแบบสุดท้ายของบทความนี้ในตอนหน้านะครับ