ทราย เจริญปุระ : ผื่นที่ไหล่ขวา

“มนุษย์เบรกดาวน์”

นี่เป็นฉายาของฉันที่คนสนิทมากพอสมควรถึงจะรับรู้

คำว่าเบรกดาวน์ในที่นี้ไม่ได้เกิดจากอาการแตกหักฟูมฟายเกรี้ยวกราดอะไร แต่มาจากคำว่า “เบรกดาวน์” ที่เอาไว้ใช้ประกอบการทำงานในกองถ่าย ว่าวันนี้ที่ออกกองกันไป เราจะถ่ายฉากไหนกันบ้าง ในฉากมีตัวละครตัวไหนบ้าง ใส่ชุดอะไร เป็นฉากกลางวันหรือกลางคืน ของตอนที่เท่าไหร่ ฉากที่เท่าไหร่ มีฉากไหนต่อเนื่องกันไปในตอนหน้าที่ฉากที่ถ่ายไปแล้วบ้าง

บางกองก็เรียกกระดาษนี้ว่าชูตติ้งสคริปต์หรือคอลชีตก็มีแตกต่างกันไป

แต่หลักๆ มันมีไว้เพื่อระบุรายละเอียดยิบย่อยเพื่อให้ผู้ร่วมงานทุกคนได้รู้ ตัวว่าจะทำอะไรนั่นเอง

นั่นแหละฉัน, มนุษย์เบรกดาวน์

 

เพราะท่ามกลางท่าทางอันเรื่อยเปื่อยอย่างเหลือแสนนั้น จริงๆ ฉันเป็นมนุษย์ที่หมกมุ่นกับตารางเวลาในระดับเสพติด

แม้แต่การเรื่อยเปื่อยที่ทุกคนรู้สึกว่ามันก็แค่การนอนอ่านหนังสือเฉยๆ ไม่ใช่หรือ ก็เป็นการเรื่อยเปื่อยที่ถูกวางตารางมาแล้ว

ฉันไม่สามารถอยู่ๆ ผลุนผลันลุกขึ้นขับรถไปกินข้าวตรงนั้นตรงนี้ หรืออยู่ๆ เปลี่ยนแผนเวลาแวะดูข้างทางได้ อะไรที่เกิดขึ้นใหม่ ที่น่าสนใจ ที่น่าทำ จะถูกทดเอาไปวางในเบรกดาวน์วันหลัง หรืออย่างน้อยก็ต้องหลังจากภารกิจเบรกดาวน์ประจำวันนั้นของฉันเสร็จสิ้นเรียบร้อย

ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนรออะไรไม่ได้ ตะบึงตะบอนจะสนใจแต่ตัวเอง

ตรงกันข้าม, ฉันยินดีนั่งรอในกองถ่ายเป็นวันๆ เพื่อถ่ายฉากแรกตอน 8 โมงเช้า แล้วรออีกทีไปเข้าฉากตอน 4 โมงเย็น แถมด้วยฉากสุดท้ายตอน 3 ทุ่มได้แบบสบายๆ ไร้กังวล

เพราะเบรกดาวน์ในหัวฉันมันจัดตารางเอาไว้แล้วว่า วันนี้คือวันออกกอง ดังนั้น จะจับฉันไปนั่งเฉยๆ ทั้งวันก็ยังได้

แต่ถ้าอยู่ๆ วันนึงโทร.มาให้ฉันแวะเข้าไปทำอะไรนิดหนึ่งฉันจะสติแตกคลุ้มคลั่งมาก เพราะถือว่าเกิดการ “เผาแพลน” หรือนอกบท นอกเบรกดาวน์ประจำวันนั้นของฉัน

ดังนั้น ในแต่ละวัน (ถ้าไม่ได้ต้องออกไปทำงาน) ฉันก็จะมีแผนบ้าๆ บอๆ แต่จริงจังอยู่เสมอ ประเภทตื่นตอนนี้ กินกาแฟแก้วแรกตอนนี้ เพื่อจะได้ขึ้นมาอาบน้ำและออกไปดูหนังรอบแรกที่นี่ ถัดจากนั้นเดินลงไปกินข้าวร้านนี้ เมนูนี้ ใช้เวลาไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ และขึ้นมาดูหนังเรื่องที่ 2 ได้ทัน

ดังนั้น จึงไม่มีวันเสียล่ะที่อยู่ๆ ฉันจะไปโผล่ที่โรงหนัง ซื้อตั๋วเรื่อยเปื่อยแบบไม่เช็กรอบและความยาวของหนังก่อนดู

หรือถ้าใครชวนออกไปกินข้าว ก็คือไปกินข้าว ถ้าจะไปไหนต่อฉันถือว่านอกแผน ไม่ได้แจ้งก่อน ถ้าขัดไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะไปนั่งด้วยความกระสับกระส่าย อยากกลับบ้านขึ้นทุกขณะจิต เนื่องจากใจมันไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนว่ากินข้าวแล้วยังต้องมานั่งคุยอะไรนี่อีก น่าอึดอัดเป็นบ้า แล้วก็ไม่ใช่ว่ามีอะไรรอให้ทำอยู่ที่บ้านด้วยนะ

แต่ฉันรู้สึกมันนอกตาราง

 

ฉันเป็นของฉันแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ ที่ต้องคอยปลุกและแต่งตัวให้น้องสาวให้ทันเวลาไปโรงเรียนพร้อมกัน และมาเป็นหนักขึ้นในตอนรุ่นๆ สมัยที่ต้องเริ่มรับผิดชอบตัวเอง ไปทำงานคนเดียว เพราะฉันถือเรื่องเวลาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งชีพ

คนที่ฝึกฉันมานี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพ่อกับแม่ (แต่พูดอย่างยุติธรรมก็คือ พ่อแม่ฉันเขาเน้นเรื่องการตรงเวลาเท่านั้น ไอ้การยึดติดเป็นสิ่งที่ฉันเป็นบ้าไปเอง)

แต่ล่าสุดนี้ คนที่ “เผาแพลน” ฉันหนักที่สุด กลับเป็นคนที่สร้างวินัยให้ฉันเอง

นั่นก็คือแม่

ใช่, ด้วยอาการป่วยไข้ ทำให้แม่ลืมตารางประจำวันทั่วไปทั้งของฉันและของตัวเอง

อะไรที่ฉันทำให้แล้ว ก็มาทวงว่าฉันยังไม่ได้ทำ

อะไรที่ยังไม่ถึงเวลาทำตามที่ตกลงกันไว้ ก็มาทวงถามเอาเดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้

ฉันจะทำอะไรได้นอกจากอธิบายซ้ำๆ ถึงตารางที่แท้จริง และมีบ้างบางครั้งที่ต้องพังตารางแสนรักที่ฉันได้วางแผนเอาไว้ เพื่อความสงบสุขในครอบครัวระหว่างแม่และฉัน

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย–ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น

 

แล้วผื่นก็เริ่มขึ้น

มันเริ่มจากหัวไหล่ขวาด้านหลัง (ขึ้นอยู่กระจุกเดียว ไม่มีด้านซ้าย ไม่มีด้านหน้า เพียงแค่ข้างขวาด้านหลัง) ทำเอาแสบๆ คันๆ เหมือนผื่นแพ้ทั่วไป ซึ่งฉันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หากว่าวันต่อมามันจะไม่ลุกลามใหญ่โต จากด้านหลังเริ่มลามมาด้านหน้า จากหัวไหล่เริ่มลงมาต้นแขน

มันแตกดอกออกผลอย่างร่าเริงเหมือนผืนหญ้าหลังรับฝนแรก

แผนชีวิตฉันเริ่มพังไม่ใช่เพราะแม่อย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเพราะผื่นบ้าๆ นี่ด้วย

 

ช่างมัน–ฉันคิด เป็นได้ก็หายได้ วันนี้ยังไงต้องพาแม่ไปหาหมอก่อน

ปรากฏว่าพอพาแม่ไปหาหมอแล้ว คนที่อาการหนักกว่ากลับเป็นฉัน

ไอ้ผื่นนั่นคือผลจากความเครียดแบบที่ฉันบอกตัวเองว่าไม่เคยมีนั่นเอง ยิ่งเครียด ก็ยิ่งขึ้น

แล้วสาเหตุของความเครียดคืออะไร

ก็คือความทำตามตารางแบบที่ฉันรักนักหนาไม่ได้ เพราะต้องดูแลแม่ตามตารางที่ฉันไม่ได้วางไว้นี่เอง

นี่มันเป็นเรื่องบ้าๆ อย่างแท้จริง คนเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะอย่างฉันกดความเครียดที่ไม่ได้ทำตามตารางของตัวเอง เอาไว้จนร่างกายประท้วงด้วยการปะทุพุผื่นขึ้นมาฟ้องสายตาหมอ

 

หลังจากเครียดจนผื่นขึ้นแบบควบคุมไม่ได้ ฉันก็โดนจับฉีดยา กินยา ทายาและขอร้อง (หรือเอาจริงๆ ก็คือ “สั่ง” จากแพทย์) ว่าให้ลดความเครียดลงเท่าที่ทำได้ ลดตารางชีวิตลง ยกบางธุระของแม่ให้น้องดูแทน

ส่วนตารางของฉันจากดูหนังผีก็เปลี่ยนเป็นหนังตลก

จากอ่านนิยายฆาตกรรมก็มาอ่านนิยายรักเบาๆ บ้าง จะชอบหรือไม่ชอบอย่างไรดูแล้วค่อยว่ากัน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นกิจกรรมที่ฉันสบายใจจะทำอยู่แล้ว ก็ช่วยลดดีกรีความมืดหม่นในชีวิตลงเสียบ้างเถอะ

เอาล่ะ (สูดหายใจลึกๆ) ฉันจะทำตามแพทย์สั่ง ลดความเครียดในชีวิตด้านอื่นลง เพราะยังไงฉันก็ลดความสำคัญของแม่ไม่ได้ ดังนั้นรสนิยมเดิมที่ชอบเสพอะไรโหดๆ เป็นการคลายเครียดของฉัน ก็ต้องเว้นกันสักพัก

ก้าวออกจากป่าช้ามาสู่ทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์เดี๋ยวนี้

และนี่ก็คือเรื่องที่ฉันเลือก นวนิยายรักวัยรุ่นนี่แหละ ที่จะเยียวยาฉัน

เรื่องย่อๆ ก็คือ

ณ เวลาตีสี่สามสิบสามนาทีของแต่ละคืน ขณะที่ ลอนดอน เลน กำลังนอนหลับ สมองของเธอจะตั้งค่าใหม่ ความทรงจำจะถูกล้างจนเกลี้ยงในตอนเช้า ทั้งหมดที่เธอจำได้คือเหตุการณ์ในอนาคตของเธอ (เห็นอนาคตแบบนี้ มันต้องเห็นภัยพิบัติ เห็นความทร…พอ!)

ลอนดอนต้องจดบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อเป็นข้อมูลชีวิตเธอ ส่วนเรื่องราวที่เธอไม่ได้บันทึกไว้นั้นถูกลืมหมด

ลอนดอนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ (คือก็ค่อนข้างราบรื่นพอสมควรน่ะนะ นี่มันนิยายรัก!!) ด้วยความช่วยเหลือของแม่และเจมี เพื่อนสนิท

แต่แล้วสิ่งต่างๆ กลับซับซ้อน เมื่อเธอได้พบกับนักเรียนเข้าใหม่ที่ชื่อ ลุค เฮนรี เด็กหนุ่มหน้าตาดี ไม่ใช่คนแบบที่ใครจะลืมได้ง่ายๆ เขาเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเธอ แต่ทำไมลอนดอนถึงไม่เห็นเขาในอนาคตของเธอ (มันควรเป็นโรคร้าย หรือไม่ก็ภาพหลอน…อินทิรา หยุดเดี๋ยวนี้นะ!) ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร

ลอนดอนก็ไม่สามารถหาเขาเจอในความทรงจำที่เธอมี…

นี่ไง ฉันก็ไม่ได้ขัดคำสั่งแพทย์นะ นี่มันนิยายรักวัยรุ่นชัดๆ แต่ยอมรับก็ได้ว่าฉันหยิบอ่านเพราะดูเนื้อเรื่องน่าจะมีอะไรโหดๆ แอบซ่อนอยู่บ้าง และมันก็ตลกดีที่มนุษย์จะใช้ชีวิตไปแบบไม่มีข้อมูลให้ตัวเอง (นี่จริงเหรอที่เราจะสามารถนั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับใครซักคนโดยไม่คิดว่าต้องมีหัวข้ออะไร คุยไปครบหรือยัง อีกครึ่งชั่วโมงเราต้องเริ่มเปิดประโยคลาแล้วนะ–นี่คือชีวิตของมนุษย์แบบฉัน)

ตารางชีวิตของลอนดอนนั้นหละหลวมมาก ถ้าเทียบกับมาตรฐานของฉัน ฉันคงเป็นบ้าตายทันทีที่รู้ว่าตัวเองจำอะไรจากเมื่อวานเพื่อเอามาประกอบผล การตัดสินใจวางตารางชีวิตในวันรุ่งขึ้นไม่ได้ (แต่นี่ฉันก็ไม่มีปัญหาอย่างลอนดอนซักหน่อย ทำไมฉันถึงยังจิตป่วยจนลามมาออกทางกายได้อีกล่ะ–เอาล่ะๆ นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคิด)

แต่ลอนดอนดูปรับตัวได้ดีกว่าฉันมาก ทั้งที่ควรจะปั่นป่วน เธอก็ยืดหยุ่นกับตัวเองได้พอใช้ และเรื่องราวก็เพลิดเพลินดีจริงๆ กุ๊กกิ๊กน่ารักแบบที่เตือนให้ฉันจำว่าโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าชีวิตวัยรุ่นอยู่ด้วย

และที่ดีไปกว่านั้นก็คือ อ่านจนจบนี่แล้วผื่นฉันก็ยังไม่ขึ้น!

ขอบคุณมากนะลอนดอน ความรักและความลืมๆ หลงๆ โหวงว่างของเธอ ช่วยฉันไว้ในคราวนี้

“ความรัก ครั้งที่จำไม่ได้” (Forgotten) เขียนโดย เคต แพทริก แปลโดย พรรษรัตน์ พลสุวรรณา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดย แพรวสำนักพิมพ์ สิงหาคม, 2559