“ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้ปลุกกระแสศรัทธาลูกหนังไทย

ก้าวลงจากตำแหน่งไปอย่างสมศักดิ์ศรีสำหรับ “โค้ชซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ซึ่งประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทัพ “ช้างศึก” “ทีมชาติไทย” เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากเข้ามาเป็นกุนซือคุมทัพช้างศึกยาวนานกว่า 5 ปี รวมระยะเวลา 1,396 วัน…

“ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ผม และทีมงานของผมตลอด 4-5 ปีที่ผมได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิต ที่เข้ามาทำงานในฐานะโค้ชทีมชาติไทย วันนี้ผมขอประกาศยุติบทบาทในการเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย และจะดำเนินการเคลียร์งานต่างๆ ส่งต้นสังกัดภายใน 90 วัน ผมขอขอบคุณนักฟุตบอลทุกคน ทีมงานของผมทุกคน แฟนบอลทุกท่าน รวมถึงขอบคุณครอบครัวที่อยู่ข้างหลังผมตลอดมาครับ”

โค้ชซิโก้กล่าวยุติบทบาทผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว

ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2556 ซิโก้ได้รับการแต่งตั้งจาก “บังยี” “วรวีร์ มะกูดี” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในขณะนั้นให้เข้ามารับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติไทย รุ่นไม่เกิน 23 ปี ควบตำแหน่งกุนซือทีมชุดใหญ่ด้วย เนื่องจากช่วงนั้นได้เกิดเป็นภาวะสุญญากาศ

ภารกิจแรกของโค้ชซิโก้ประเดิมสร้างประวัติศาสตร์หน้าแรกด้วยการคุมทีมนัดแรกบุกไปอุ่นเครื่อง ถล่ม “ทีมชาติจีน” 5-1 ภายใต้ระยะเวลาเตรียมทีมเพียง 10 วันเท่านั้น และยึดผู้เล่นรุ่นไม่เกิน 23 ปีหลายคนลงดวลแข้งกับจีน ซึ่งจากชัยชนะดังกล่าวยังทำให้ “โฆเซ่ อันโตนิโอ คามาโช่” โค้ชชื่อดังชาวสเปน กระเด็นจากเก้าอี้กุนซือทัพแดนมังกรด้วย

โค้ชซิโก้มีโอกาสได้เตรียมทีมลงเตะฟุตบอลนัดพิเศษกับ “ลิเวอร์พูล” และ “บาร์เซโลน่า” ที่เดินทางมาเยือนไทย และเป็นการเตรียมทีมสู้ศึกซีเกมส์ 2013 ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศพม่าด้วย ซึ่งจากการเดินหน้าเตรียมทัพเต็มกำลังก็ทำให้ทีมชาติไทยทวงแชมป์ซีเกมส์กลับมาได้อีกครั้งในรอบ 6 ปี หลังจากพลาดท่าตกรอบแรกมาใน 2 ครั้งก่อนหน้านี้

จากนั้นเขาเดินหน้ายกระดับทีมก้าวไปคว้าอันดับ 4 กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนับเป็นการคว้าอันดับ 4 ครั้งที่ 3 ในรอบ 16 ปีด้วยกัน และเป็นการจารึกชื่อของ “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” เป็นคนแรกที่คว้าอันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ได้ทั้งสมัยเป็นนักเตะ และโค้ช

ถัดมาซิโก้ขยับขึ้นมาคุมทีมชาติชุดใหญ่ เต็มตัว ซึ่งทัวร์นาเมนต์แรกก็คือศึกชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” โดยเขาดันผู้เล่นคู่บุญจากชุดไม่เกิน 23 ปี นำโดย “เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์”, “ก้อง” “เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์” และคนอื่นๆ พาทีมผงาดทวงเจ้าอาเซียนคืนมาเป็นสมัยที่ 4 ในรอบ 12 ปีได้อย่างยิ่งใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้น ซิโก้เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการลูกหนังไทย พร้อมกอบกู้ศรัทธาจากแฟนบอลชาวไทยให้กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งด้วยการนำทัพช้างศึกกรุยทางเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก เป็นครั้งที่ 2 ได้สำเร็จในรอบ 12 ปี รวมทั้งยังคว้าโควต้าเข้ารอบสุดท้ายศึกเอเชี่ยน คัพ 2019 ด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโค้ชซิโก้สร้างความสำเร็จมากมายให้กับทีมชาติไทย ซึ่งรายการสำคัญคือการพาทีมครองถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ 2016” ได้สำเร็จในรอบ 9 ปี ก่อนที่ในปีเดียวกันเขาพาทีมป้องกันแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 และกลายเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดถึง 5 สมัย พร้อมกับเป็นการตอกย้ำความเป็นเจ้าแห่งอาเซียน

แต่แน่นอนว่าการก้าวข้ามจากระดับอาเซียนไปสู่ระดับเอเชียจะต้องเจอกับคู่แข่งชาติชั้นนำระดับทวีป ซึ่งถือว่าแต่ละทีมต่างมีความแข็งแกร่งสุดขีด และทีมชาติไทยถือเป็นทีมรองบ่อนในรอบ 12 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย

ผลงานจากการลงสนาม 7 นัด ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก สามารถเก็บได้เพียงแต้มเดียวจากการยันเสมอ “ทีมชาติออสเตรเลีย” 2-2 และที่เหลือ 6 นัด พ่ายแพ้หมดรูป ทำให้โค้ชซิโก้เริ่มเผชิญกับสถานการณ์กดดันอย่างเต็มเปี่ยม และนัดสุดท้ายในการคุมทีมคือ การบุกพ่าย “ทีมชาติญี่ปุ่น” 0-4 ทำให้ทีมชาติไทยตกรอบอย่างเป็นทางการแม้จะเหลือโปรแกรมอีก 3 นัด

ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นนับเป็นสิ่งที่ทีมชาติไทยต้องเผชิญในเวทีชั้นนำเอเชีย เพราะต้องยอมรับว่ายังไม่ดีพอในระดับนี้ เนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อการพัฒนายกระดับไปสู่จุดที่สูงขึ้น และโค้ชซิโก้เป็นผู้พาทีมมาถึงจุดนี้ แต่ไม่สามารถนำทีมก้าวผ่านไปได้ในระยะเวลาอันสั้น

ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการก้าวมาทัดเทียมทีมยักษ์ใหญ่แห่งทวีปได้

นอกจากนี้ โค้ชซิโก้ยังมีกรณีเรื่องสัญญาคุมทีมชาติไทยในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งหลังจากที่เขาหมดสัญญาฉบับเก่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ก็ใช้เวลาเกือบ 1 เดือนในการเจราจาก่อนเซ็นสัญญาฉบับใหม่ ระยะเวลา 1 ปี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เวลาผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่ถึงเดือนหลังจากได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่ โค้ชซิโก้ประกาศยุติบทบาทการเป็นเฮดโค้ชทัพช้างศึกภายหลังจากการคุมทีมนำสุดท้ายบุกไปพ่าย ทีมชาติญี่ปุ่น ราบคาบ 0-4 ซึ่งโค้ชซิโก้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “จะโละโค้ช โละทั้งทีมก็แล้วแต่ท่านนายก”

ประโยคดังกล่าวทำให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ฉุนขาดที่ถูกมองว่าเป็นจำเลยทั้งที่ไม่เคยคิดจะปลดโค้ชหรือจะโละทีมชาติ ซึ่งหน้าที่ปลดโค้ชเป็นหน้าที่ของนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อยู่แล้ว แต่ “โละทีมชาติไทยไม่ใช่หน้าที่ของผม เอาทีมชาติไทยมาเป็นจำเลยกับผมได้ยังไง”

ตลอดทั้งรอบวันของวันที่ 31 มีนาคม เต็มไปด้วยกระแสข่าว การแยกทางของโค้ชซิโก้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จนท้ายที่สุดแล้วโค้ชซิโก้ประกาศยุติการทำหน้าที่ในช่วงค่ำ ทำให้กลายเป็นประเด็นใหญ่ในประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไทยอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ซิโก้ได้เปลี่ยนบทบาทจากความสำเร็จสมัยเป็นนักเตะมาสานต่อสร้างความสำเร็จในการเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเขาเป็นผู้ปลุกศรัทธาของแฟนบอลไทยกลับมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป และจะกลายเป็นสิ่งย้อนกลับมาทำลายตัวเองได้ทันทีเมื่อไม่สามารถสานต่อความสำเร็จต่อไปได้

โค้ชซิโก้นับเป็นผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญให้กับวงการฟุตบอลไทย ซึ่งตลอดระยะเวลาในการทำหน้าที่รับใช้ชาติทั้งการเป็นนักเตะ และโค้ช เขาได้สร้างความสุขให้กับแฟนบอลชาวไทยได้ทั้งประเทศ และการประกาศยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นวิถีของฟุตบอล แต่ชื่อของเขาก็ตราตรึงอยู่ในใจของแฟนลูกหนังไทยไปนานแสนนาน

ในวัยเพียง 43 ปี ซิโก้ยังมีเวลาอีกมากมายในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์คุมทีม และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเขาจะกลับมาสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการฟุตบอลไทยได้อีกครั้งอย่างแน่นอน…