ขอบคุณข้อมูลจาก | วิช่วลคัลเจอร์ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 ก.ค. 59 |
---|---|
เผยแพร่ |
ข่าวเรื่องการลงประชามติ โดยเฉพาะการจับกุมคนที่รณรงค์ให้ “ไม่รับ” รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งไม่เป็นข่าวเลย นั่นคือ การรณรงค์ Vote No ซึ่งออกมาเมื่อปี พ.ศ.2550
การรณรงค์ครั้งนี้ทำในนามของเครือข่าย 19 กันยา ซึ่งตั้งขึ้นหลังรัฐประหาร 2549 ประกอบด้วยนักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนหลายกลุ่ม
ที่ต้องการประท้วงการรัฐประหาร
เราเริ่มจากโฆษณาเต็มหน้าในมติชนรายวัน ราว 5 ชิ้น แต่ละชิ้นมีโคว้ตจากนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยทั้งเนื้อหาและกระบวนการของร่างฯ และตามมาด้วยสิ่งพิมพ์และสติ๊กเกอร์อีกหลายชิ้น
ผมได้พูดถึงงานชุดนี้เมื่อครั้งที่เอาไปแสดงเมื่อปี พ.ศ.2553 ที่เมืองสตุตการ์ต เยอรมนี
งานนี้ชื่อ Re-Designing the East : Political Design in Asia and Europe ซึ่งนำเสนอศิลปะการเมืองจากหกประเทศในยุโรปและเอเชีย คือโปแลนด์ ฮังการี เช็ก อินเดีย เกาหลีใต้ และไทย
เรื่องที่พูดคือ Fighting from Within.
ผมบอกว่าการรณรงค์ครั้งนี้มีความสำคัญเพราะเราไม่สามารถจัดอภิปราย ก่อการชุมนุม อีกทั้งทำขึ้นในบรรยากาศที่อึมครึม ปัญญาชนและสื่อมวลชนส่วนมากก็พากันนิ่งเงียบ ไม่คิดหือกับรัฐบาล ซึ่งก็คล้ายที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
แต่ที่สำคัญ ผมบอกว่าตนเองไม่ได้มีฐานะเป็นศิลปินการเมืองหรือยืนอยู่ “นอก” ระบบ
ตรงกันข้าม เป็นดีไซเนอร์ที่อยู่ “ใน” ระบบ
ผมและเพื่อนๆ ในเครือข่าย 19 กันยา ล้วนมีอาชีพต่างๆ ที่มาร่วมกันต่อสู้ ก็ในฐานะประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น
และงานนี้ ผมก็คล้ายทำตามหน้าที่ หรือ “just doing my job”
แม้จะเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ที่ทำงานการเมืองบ้าง แต่ก็ทำงานเชิงพาณิชย์มากว่ายี่สิบปี ไม่ใช่ศิลปินการเมืองที่ยืนอยู่ข้างนอกหรือ radical เลย จะเรียกว่าตรงข้ามกับสิ่งนั้นก็ได้
และถ้าศิลปะการเมืองหมายถึงงานที่แสดงท่าทีกราดเกรี้ยวหรือมีลีลาแบบ avant-garde การรณรงค์ครั้งนี้ก็คงไม่ใช่
vote no เป็นการประท้วงรัฐบาลทหารอย่างเปิดเผย และพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ร่างฯ ฉบับนี้ไม่มีความชอบธรรม เพราะมีกำเนิดมาจากยึดอำนาจและฉีกรัฐธรรมนูญ
แต่รูปแบบและสื่อที่ใช้ก็แสนจะธรรมดา เราใช้การ์ตูนในการสื่อสาร
ไม่ได้แสดงความโกรธเกลียด ตรงกันข้าม มีแต่อารมณ์ขันและ irony
เช่น รูปคนที่กำลังหย่อนบัตรโดยมีปืนกระบอกโตจ่อที่หัว และมีรูปท็อปบู๊ตเหยียบหน้าประชาชน
โปสเตอร์และโฆษณาไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ดูโกรธหรือลุกขึ้นมาโค่นล้มการลงประชามติ
ผลของการพูด?
ไม่มากนัก เหตุผลหนึ่งคืองานเล็กมาก และตอนนั้น ความขัดแย้งก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่ เกินกว่าที่จะมาพูดอะไรเรียบๆ อย่างนี้
การบอกว่าแค่ทำตามหน้าที่ของตนเอง หรือ “just doing my job” อาจจะไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่างานเหล่านั้นเป็นศิลปะหรือการไม่รับร่างฯ เป็นวีรกรรม
หลังจากนั้น สถานการณ์เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มนิติราษฎร์ และ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ขึ้นเวทีในวันที่ 10 ธันวาคมปีเดียวกัน หลังจากนั้น สิ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อนก็ระเบิดออกมา การต่อต้านรัฐบาล วิจารณ์สถาบัน และเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่นักโทษการเมือง ซึ่งรวมถึงการที่ปัญญาชนและนักวิชาการฝ่ายตรงข้ามออกมาอุ้มรัฐบาลก็ทำกันอย่างเปิดเผยและทวีความดุเดือดขึ้น จนถึงหลังเลือกตั้ง 2554
ซึ่งในตอนนั้น บทบาทของสื่อ ศิลปิน และนักวิชาการก็กำลังเปลี่ยนไป
คือต้องเลือกข้างและแสดงความคิดเห็นที่แหลมคมมากขึ้น เกิดความรุนแรงและการเสียสละของแต่ละฝ่ายมากมาย
ตามมาด้วยการชุมนุมของ กปปส. หรือม็อบของมวลชนที่ “สนใจการเมือง” ในแบบที่ตรงข้ามกับเรา
ในช่วงนั้น การทำอะไรตามหน้าที่ อาจจะกลายเป็นข้อหาในการด่าคนโลกสวยและที่ไม่สนใจการเมือง
อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดนำมาสู่การรัฐประหารปี พ.ศ.2557 และเมืองไทยก็เข้าสู่ช่วงแห่งการลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างฯ อีกครั้ง
สำหรับการพูดวันนั้น ผมสรุปว่า แค่เป็นประชาชนที่กล้าบอกว่า “ไม่”
และแค่เป็นดีไซเนอร์ที่ “just doing my job” คุณอาจจะกลายเป็น radical
รวมทั้งถูกคุกคามและจับกุมก็ได้