บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/เบื้องหลัง ‘ความเน่าเละ-โกลาหล’ คณะทำงาน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

บทความพิเศษ

นงนุช สิงหเดชะ

เบื้องหลัง ‘ความเน่าเละ-โกลาหล’

คณะทำงาน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

ผ่านมาเกิน 1 ปีก็ยังมีเรื่องให้พูดถึงได้อย่างไม่จบสิ้นสำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งบัดนี้ถูกใครต่อใครตั้งฉายาให้ว่ามีสไตล์การบริหารที่สร้างความโกลาหลปั่นป่วนให้กับทีมทำงานของรัฐบาลมากที่สุด ได้ชื่อว่ามีการไล่คณะทำงานออกมากและบ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นการไล่ออกแบบไร้เหตุผลเสียด้วย แค่เฉพาะตำแหน่งสำคัญหลักๆ ก็นับไม่ถ้วนแล้ว
การถูกเรียกว่ามีสไตล์การบริหารที่สร้างความโกลาหลปั่นป่วน ถือเป็นการใช้คำที่ค่อนข้างสุภาพ ทั้งที่ความจริงแล้วผู้วิจารณ์ตั้งใจจะสื่อว่าทรัมป์มีสไตล์บริหารที่ขาดความเป็นมืออาชีพ เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
แถมอารมณ์นั้นเปลี่ยนแปลงเร็วเสียด้วย
บางคนก็เปรียบเทียบว่าเขานำสไตล์การบริหารรายการทีวี The Apprentice (เรียลลิตี้โชว์) ที่เขาเคยเป็นพิธีกรมาใช้ กล่าวคือ ในแต่ละตอนของการแข่งขันจะมีผู้ถูกไล่ออก 1 คน
โดยล่าสุดก็มีการไล่ออก-ลาออก 2 คนติดๆ กัน และเป็นบุคคลระดับที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาล ซึ่งก็คือเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ และแกรี่ โคห์น ที่ปรึกษาสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ

เร็กซ์ ทิลเลอร์สันนั้นโปรโฟล์ไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงอดีตประธานบริหารของบริษัทน้ำมันเอ็กซอน บริษัทใหญ่อันดับ 6 ของโลกในแง่รายได้
เขาถูกทรัมป์ไล่ออกแบบกะทันหันและไม่ให้เกียรติ แถมเป็นการประกาศปลดผ่านทวิตเตอร์ (สะท้อนพฤติกรรมของเด็กอมมือ) โดยที่ไม่ได้แจ้งกับเจ้าตัวโดยตรงล่วงหน้า
นายทิลเลอร์สันมารู้ว่าถูกปลดก็ต่อเมื่อหลังจากเห็นทวิตเตอร์แล้วเท่านั้น
อันที่จริงมีข่าวคราวมาระยะหนึ่งแล้วว่าทั้งคู่ไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ทั้งเรื่องเกาหลีเหนือและนิวเคลียร์อิหร่าน
ซึ่งถึงแม้ไม่บอก วิญญูชนก็พึงคิดได้เองว่า แนวทางของทิลเลอร์สันนั้นเหมาะสมแล้วกับความเป็นมืออาชีพ ในขณะที่ทรัมป์นั้นดูเหมือนไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการต่างประเทศ
ซึ่งว่ากันว่าเคยทำให้ทิลเลอร์สันแอบกลอกตาใส่ทรัมป์ด้วยความเพลียใจมาแล้วขณะประชุมร่วมกันครั้งหนึ่ง

สําหรับรายล่าสุดคือแกรี่ โคห์นนั้น ชิงลาออกเพราะเหลืออด หลังจากทรัมป์ดึงดันเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น ถือเป็นการเปิดสงครามการค้า ซึ่งโคห์นไม่เห็นด้วย
การลาออกของโคห์น สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนมาก
เพราะถือว่าเขาเป็นแค่ไม่กี่คนในรัฐบาลทรัมป์ที่น่าเชื่อถือ เป็นเสาหลักให้กับรัฐบาลในแง่ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลนี้จะยึดมั่นในการค้าเสรี
เขาลาออกไม่ถึงสองชั่วโมง หลังจากทรัมป์ คุยโวกับนักข่าวว่ามีแต่คนอยากมาทำงานให้เขาที่ทำเนียบขาว
ซึ่งคำคุยโตมีขึ้นหลังจากถูกนักข่าวแย็บคำถามว่าการทำงานของทรัมป์ถูกหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าสร้างความโกลาหล
ยังมีความเน่าเละ ความไร้ประสิทธิภาพอีกมากของทีมทำงานรัฐบาลทรัมป์
ดังที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้นำมาตีแผ่เมื่อเร็วๆ นี้

วอชิงตันโพสต์แฉว่า สำนักงานฝ่ายบุคคลของประธานาธิบดี (พีพีโอ) ซึ่งมีบทบาทสำคัญและทรงอิทธิพลเพราะมีหน้าที่คัดกรองผู้ที่จะมาลงมือทำงานตามนโยบายรัฐบาลและบริหารหน่วยราชการหลายแห่งนั้น กลับปรากฏว่าผู้บริหารของพีพีโอเองล้วนมีมลทินและขาดประสบการณ์ ส่วนใหญ่อยู่ในวัย 20 เศษๆ
ขณะที่เจ้าหน้าที่พีพีโอของรัฐบาลชุดก่อนๆ นั้นจะมีอายุเกิน 35 ขึ้นไป แต่หลังจากทรัมป์เข้ามา คนอายุเกิน 35 ถูกย้ายไปไว้ที่อื่น จึงเป็นเหตุให้ไม่ค่อยได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาทำงานให้รัฐบาล
นอกจากไร้ประสบการณ์แล้ว บุคลากรประจำพีพีโอของทรัมป์ เช่น เจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้า 2 คน เป็นแค่พวกที่ต้องดร็อปเรียนเพราะถูกจับฐานเมาแล้วขับ อีกคนก็เป็นอดีตนาวิกโยธินที่ถูกจับฐานทำร้ายผู้อื่นและขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา
แฉต่อไปอีกว่า แม้ในขณะที่รัฐบาลจำเป็นต้องสรรหาบุคลากรมาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงจำนวนมาก แต่สำนักงานพีพีโอก็ไม่ใส่ใจ งานหลักกลับเป็นการเฮฮาปาร์ตี้ มีแต่ Happy hours กันตลอดวัน
“สำนักงานนี้ซึ่งอยู่ชั้นแรกของตึกไอเซนฮาวร์กลายเป็นศูนย์กลางสมาคมสังสรรค์ พวกพนักงานเด็กๆ ของทำเนียบขาวทั้งหมดต่างแวะเวียนมานั่งบนโซฟา สูบบุหรี่ไฟฟ้ากันสบายใจเฉิบ ปีที่แล้วหัวหน้าของพีพีโอก็เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงสุขอุรา ขนทั้งไวน์ เบียร์ ของว่างมาให้ทีมงานหลายสิบคนสนุกกัน พวกเขายังเล่นเกม ‘แข่งกันดื่ม’ อีกด้วย” แหล่งข่าววงในแฉให้กับวอชิงตันโพสต์ฟัง
เท่านั้นยังไม่พอ พีพีโอยุคทรัมป์ ยังเป็นแค่แหล่งแวะพักของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่อยู่ระหว่างรอโอนไปยังตำแหน่งอื่น ที่ร้ายกว่านั้นมันเป็นแหล่งงานให้กับบรรดาเพื่อนๆ และครอบครัว พูดให้ชัดก็คือ สำนักงานแห่งนี้เต็มไปด้วยการเล่นเส้นเล่นสาย ไม่ได้เน้นที่ความสามารถและประสบการณ์

หลังจากข่าวนี้หลุดออกมา ทางทำเนียบขาวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเล่นเกมแข่งกันดื่มจริง แต่การจัดงานแบบนี้ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของพีพีโอเพื่อสร้างสัมพันธ์และเครือข่าย ตลอดจนปลดปล่อยความเครียด
แต่เมื่อถูกวอชิงตันโพสต์ขอให้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานและองค์ประกอบของทีมงานพีพีโอ ทางทำเนียบขาวกลับปฏิเสธ
ทรัมป์นั้นต้องจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาว่าฉีกกฎดีๆ ทุกข้อของนักการเมืองอเมริกัน ที่เคยได้ชื่อว่ามีมาตรฐานสูง ทั้งผลประโยชน์ทับซ้อนสูง เล่นพรรคเล่นพวก ขาดจริยธรรมทุกข้อ ฉาวโฉ่เรื่องเซ็กซ์ ไร้ธรรมาภิบาล ขาดสปิริต ดูถูกสตรีเพศ ขาดมารยาท ขาดวาจาที่เหมาะสมที่ผู้นำพึงมี
เรียกว่าใครมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐต่อจากทรัมป์จะไม่เหนื่อย เพราะว่าทรัมป์สร้างมาตรฐานไว้ต่ำ ใครทำได้ดีกว่าทรัมป์นิดหน่อยก็ถือว่าใช้ได้แล้ว