หนุ่มเมืองจันท์ : นาทีสุดท้าย

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน ใครที่เป็นแฟน “ผีแดง” คงจะมีความสุข

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ชนะ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” 3:2

ทั้งที่ครึ่งแรกตามอยู่ 2 ประตู

และฟอร์มการเล่นแย่มาก ไม่มีโอกาสยิงเข้ากรอบประตูทีม “เรือใบสีฟ้า” เลย

แต่พอครึ่งหลัง เหมือนเป็นคนละทีม

“แมนฯ ยู” เล่นดีมาก ก่อนที่จะโกงความตายเอาชนะคู่แข่งร่วมเมืองอย่างสุดมัน

เป็นเรื่องปกติของแฟนบอล ทีมที่เราเชียร์ชนะได้ก็ดีใจ

แต่ที่แฟนแมนฯ ยู มีความสุขมากกว่าก็คือ การได้เห็นจิตใจนักสู้แบบ “ไม่ยอมแพ้” ของทีมอีกครั้ง

เหมือนได้ย้อนอดีตไปสู่วันเก่าๆ ในยุค “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” คุมทีม

ในยุคนั้น ต่อให้ “แมนฯ ยู” โดนนำเท่าไร

ไม่มีแฟนบอลเดินออกจากสนาม

หรือปิดทีวี

เพราะตราบใดที่กรรมการยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลา

แฟน “ผีแดง” ทุกคนรู้ว่ายังมีความหวัง

เป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ

หลังจบเกมผมนึกถึงคลิปที่ “เฟอร์กูสัน” เป็นแขกรับเชิญให้กับทีมซอลฟอร์ด ซิตี้

เจ้าของทีมซอลฟอร์ด ซิตี้ คืออดีตนักเตะคู่บุญของ “เฟอร์กูสัน”

“แกรี่ เนวิลล์-ฟิล เนวิลล์-พอล สโคลส์-นิกกี้ บัตต์” และ “ไรอัน กิกส์”

เขาเชิญ “เฟอร์กูสัน” ให้โอวาทกับนักเตะของทีม

ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาทีที่เขาพูด คือเคล็ดลับที่ทำให้ “แมนฯ ยู” ในยุคเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

ดีกว่าหนังสือเล่มหนาปึ้กที่เขาเขียนอีกครับ

“เฟอร์กี้” บอกเด็กๆ ว่านักเตะที่ยิ่งใหญ่ต้องมีความปรารถนาที่แรงกล้า

“ความขยัน” ต้องมี

“ไม่มีใครมาที่บ้าน เคาะประตูแล้วเอาเงินมาให้หรอก” เขาบอก “เชื่อผม เราต้องออกจากประตูไปหาเอาเอง”

“เฟอร์กี้” ยืนยันว่า “การทำงานหนัก” ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้

แต่มันคือ “ความสามารถพิเศษ” ที่มีอยู่ตัวคนจำนวนไม่มาก

“คนที่มีความปรารถนาที่แรงกล้า เขาจะทำมัน”

ผมนึกถึง “เดวิด เบ๊กแฮม” ที่ใช้เวลาหลังการซ้อมฝึกยิงลูกฟรีคิกครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพที่เราเห็นในสนาม คือ “เบ๊กแฮม” ยิงฟรีคิกได้แม่นยำ

แต่เบื้องหลังภาพ คือ การฝึกซ้อมอย่างหนัก

เขาทำงานหนักเหมือนที่ “เฟอร์กูสัน” บอก

ไม่ใช่ “พรสวรรค์”

แต่เป็น “พรแสวง” อย่างแท้จริง

“เฟอร์กี้” แม้จะเป็นผู้จัดการทีมที่ดุมาก

ระดับที่ “นักเตะ” กลัว

แต่เขาก็เป็นคนที่มีจิตวิทยาสูง

“เฟอร์กี้” จะไม่เหมือนกับ “มูริญโญ่” ที่ชอบกำหนดเกมให้นักเตะ

ต้องเล่นตามคำสั่งเป็นหลัก

ทำให้นักเตะเล่นไม่สนุก

สไตล์ของ “เฟอร์กี้” จะซ้อมหนัก เน้นความเป็นทีม นักเตะจะช่วยเหลือกันเต็มที่

“โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” เคยเล่าว่า ก่อนลงสนาม “เฟอร์กูสัน” จะบอกนักเตะทุกคนด้วยประโยคคล้ายๆ เดิม

คือ ให้แสดงความสามารถในตัวออกมาให้เต็มที่

“สนุกกับเกม และแสดงให้เห็นว่าเอ็งทำอะไรได้บ้าง”

ก่อนตบท้าย

“แต่พวกแกอย่าพลาดนะ”

ครับ ถ้านักเตะคนไหนถูกเปลี่ยนตัวออกแล้ว “เฟอร์กี้” ไม่จับมือ หรือมองหน้า

ขอให้รู้เลยว่าหลังเกมเจอกันแน่

“ไดร์เป่าผม” จะทำงาน

เป็นศัพท์เฉพาะที่นักเตะเรียก “เฟอร์กี้” ตอนที่โวยใส่นักเตะถ้าใครทำพลาด

เขาจะเดินไปใกล้ๆ แล้วตะคอกใส่

แรงระดับผมปลิว

“โซลชา” เป็นนักเตะที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซูเปอร์ซับ” คือ เป็นตัวสำรองที่ลงไปแล้วยิงประตูได้แทบทุกครั้ง

แต่สำหรับนักบอล ไม่มีใครอยากเป็น “ตัวสำรอง”

ทุกคนอยากเป็น “ตัวจริง”

เคยมีคนถามเรื่องนี้กับ “โซลชา”

เขาบอกว่า “เฟอร์กี้” รู้ว่าทุกครั้งที่ “โซลชา” เป็น “ตัวสำรอง” เขาจะเก็บกดมาก

และพร้อมระเบิดพลังเมื่อลงสนาม

“โซลชา” ยอมรับว่า “เฟอร์กี้” มีความแม่นยำมากว่าจะส่งเขาลงตอนไหนถึงจะดี

ในนัดชิงแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ปี 1999 “โซลชา” ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในช่วงท้าย

มีคนสงสัยว่า “เฟอร์กี้” พูดอะไรกับ “โซลชา” ก่อนลงสนาม

“เปล่าเลย เขาไม่ได้พูดอะไรเลย”

ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ตอนที่เปลี่ยน “เท็ดดี้ เชอริ่งแฮม” ลงสนาม “เฟอร์กี้” คุยกับ “เท็ดดี้” นานมาก

“นั่นทำให้ผมหงุดหงิด ผมคิดว่าผมยิงได้ 17 ลูกให้คุณในฤดูกาลนี้ ส่วนเท็ดดี้ยิงได้แค่ 4 ลูกเอง แล้วทำไมคุณไม่มาคุยกับผม”

สิ่งที่เขาคิดตอนนั้นก็คือ “ผมจะพิสูจน์ว่าคุณคิดผิด”

ครับ นั่นคือสิ่งที่ “เฟอร์กี้” ต้องการ

เขารู้ว่า “โซลชา” เป็นคนอย่างไร

และต้องใช้วิธีการไหนจึงจะรีดความสามารถของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่

นี่คือ ความสุดยอดของคนชื่อ “เฟอร์กูสัน”

ตอนที่ “เฟอร์กี้” พูดกับนักเตะซอลฟอร์ด ซิตี้ มี 2 เรื่องที่ผมชอบมาก

เรื่องแรก คือ วันที่เขาเข้าไปสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์” ประธานสโมสร และ “มัวริซ วัตกินส์” ทนายสโมสร ถามถึงแผนงานของเขา

“คุณจะทำอะไร อย่างไร ในวันพรุ่งนี้”

คำตอบของเขาก็คือ “ลืมพรุ่งนี้ไปซะ”

“ผมคิดถึงอนาคต”

Forget Tomorrow

I Think Future

คำว่า “พรุ่งนี้” แตกต่างจาก “อนาคต” ตรงที่ “ระยะเวลา”

“พรุ่งนี้” คือ ระยะสั้น

“อนาคต” คือ แผนระยะยาว

“เฟอร์กี้” มุ่งสร้างทีมในระยะยาว นักเตะของเขามาจากทีมเยาวชนเยอะมาก

“แกรี่ เนวิลล์-ฟิล เนวิลล์-พอล สโคลส์-นิกกี้ บัตต์” และ “เดวิด เบ๊กแฮม” คือเด็กรุ่นใหม่ที่เขาให้โอกาส

“เฟอร์กูสัน” ชอบปลูกต้นไม้แบบมีรากแก้ว

ไม่ใช่การล้อมต้นไม้ใหญ่มาลงดิน

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบคือ ตอนท้ายของการให้โอวาท

“ผมรู้ว่าเมื่อทีมของผมลงสนาม เขาจะไม่มีวันทำให้ผมผิดหวัง”

เขาบอกว่าไม่มีใครชนะทุกเกม ทีมของเขาก็มีทั้งแพ้และชนะ

แต่สิ่งหนึ่งที่นักเตะในทีมไม่เคยทำ คือ การยอมแพ้

“พวกเขาไม่ยอมแพ้”

“เฟอร์กี้” บอกว่าประตูที่แมนฯ ยูทำได้นาทีสุดท้าย ไม่ได้มาจากฝีเท้าของนักเตะหรอก

“แต่เป็นเพราะเขาไม่ยอมแพ้”

“ทุบประตูเข้าไป สุดท้ายมันก็จะพังลง”

“เฟอร์กี้” ถามนักเตะซอลฟอร์ด ซิตี้ว่ารู้หรือไม่ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยิงประตูในนาทีสุดท้ายได้ทั้งหมดกี่ประตู

คำตอบคือ 166 ประตู

และยิงได้ใน 15 นาทีสุดท้าย

มากกว่า 200 ประตู

“ไม่ใช่เพราะตัวผม” เขาบอก

“แต่เพราะนักเตะพวกนี้ไม่เคยยอมแพ้”

ครับ เพราะเขา “ไม่ยอมแพ้”

“นาทีสุดท้าย” จึงไม่ใช่การนับถอยหลังเพื่อหมดเวลา

แต่เป็น “การเริ่มต้น”

เพื่อ “ชัยชนะ”