การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ตราบเท่าที่ยัง…

อ่อนเพลีย รู้สึกเปลี้ยไปหมดทั้งร่าง จนเหมือนแขนขาของฉันได้เหลวฟ่ามไปทั้งหมดเสียแล้ว…

หากในความง่วงงุน ยังคงได้ยินเสียงต่างๆ ดังอยู่รอบตัว เสียงคนเซ็งแซ่ คล้ายๆ…จะได้ยินเสียงแม่ และเสียงของพ่อพูดอะไรอยู่แว่วๆ

ง่วง…ง่วงจัง นั่นคือความรู้สึกของฉัน แต่…หรือมันกำลังจะดี ฉันกำลังจะได้ตายสมความตั้งใจจนได้ หรือว่า…หรือว่าตัวฉันได้ตายไปแล้ว…

พี่โฟหยุดร้องไห้ไปแล้วนี่

เสียงที่แผดดังปานคนเสียสตินั้นก็เงียบสิ้น

แต่ยังมีเสียงอันจับใจความไม่ได้ อึงอล คล้ายๆ มีมดหลายร้อยตัวกำลังเดินไต่อยู่ในหัวของฉัน

…เสียงใครเรียกชื่อฉัน

“พี่…พี่! ตื่นเถอะลูก ตื่นเถอะ!”

เปลือกตาฉันกระตุก รู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่ไหวขึ้นตอบรับ

ยังมีแรงสั่นสะเทือน เป็นสัมผัสที่ท่อนแขน

“พี่ ตื่นเร้ว พ่อมาแล้ว”

อะไรอย่างหนึ่งผลักฉันลงสู่หุบเหวข้างหน้า ใจหายวาบกับความลึกเคว้งคว้าง ฉันสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับเจ็บแปลบไปทั่วท้องน้อยจนแทบจะตัวงอตัวบิด

ลืมตาโพลง

แม่!

พ่อ!

 

แม่ยืนชะโงกหน้าอยู่เหนือเตียงที่มีราวเหล็กแข็งๆ มีน้ำตาเม็ดหนึ่งหยดเผาะลงสู่หน้าผากฉัน

เย็น…เย็นจัง

ฉันลืมตาแล้วในตอนนั้น และทันใดเงาหนึ่งก็วูบถลันเข้ามา ใบหน้าของพี่โฟเบียดข้างไหล่แม่

“อีพี่ฟื้นแล้ว!”

พลัน พี่สาวร่วมพ่อก็ร้องไห้โฮ

“…พี่โฟ” ฉันเอ่ยปากจะห้าม หากเสียงจากลำคอตัวเองก็ดังแค่กระซิบ

“มึงไม่ต้องพูด…ไม่ต้องพูดอะไรอีพี่!”

เสียงพี่โฟแทบจะก้องห้อง พ่อรีบเข้ามาจับไหล่ไว้ ฉันเห็นภาพความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่ปรากฏต่อหน้า

หากน้ำตาของแม่ยังคงตกหล่นช้าๆ

ช้ากว่าสิ่งอื่นใด

 

นํ้าตาของแม่เย็นมาก มันเย็นจนเหมือนจะซึมซาบเข้าไปได้ถึงใต้ผิวหนัง ขณะที่ความเจ็บปวดก็ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

อยากจะยกแขนและขา ทว่า เหมือนถูกถ่วงไว้ด้วยของไร้น้ำหนัก ตัวฉันก็เหมือนจะปราศจากน้ำหนัก ในอกหวิวเบาราวยัดไว้ด้วยปุยนุ่น

แล้วอะไรกันที่กดทับฉัน

“หายเร็วๆ เถอะนะลูกนะ”

มือของแม่ยื่นลงมาลูบผมที่หน้าผากของฉัน มือ…มือของแม่จริงๆ ช่างน่าแปลก แม้จะจากกันมานานและไกล แต่ยังมีกลิ่นและร่องรอยอะไรบางอย่าง ทำให้ฉันคุ้นเคยกับมือนั้นสิ้นดี

น้ำตาของฉันไหลออกมาบ้าง

หยาดน้ำค่อยๆ เอ่อท้นออกจากหางตา ฉันรู้สึกได้ถึงการมาของมัน

[มีต้นน้ำตาอยู่ต้นหนึ่ง

เติบโตขึ้นใต้แม่น้ำที่ไม่เคยหยุดไหล

โปร่งแสงไปทุกก้านใบ

กิ่งรากชอนไชอย่างมั่นคง

ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของดอกไม้สีขาว

เบิกบานกับแสงดาวอันสูงส่ง

แต่ทุกครั้งที่ใบปลิดร่วงลง

ฉันยังคงเป็นได้แค่แมลงตัวนั้น

มีต้นน้ำตาอยู่ต้นหนึ่ง

แตกผลิเติบโตอยู่ในฉัน

เคยคิดว่าแค่รากสั้นสั้น

นับวันยิ่งหยั่งลึกชอนไช

เลาะเลื้อยไปจนทั่ว

ใต้ผิวอันมืดมัวและหมองไหม้

ดูภายนอกไม่เห็นสิ่งใด

ภายในคงใกล้ผุพังเต็มประดา

ฉันทุกข์ทรมาน

กับการพยายามไปข้างหน้า

บาดเจ็บอยู่ตลอดเวลา

ชีวิตสำมะหาสำคัญอันใดอีก

ฉันอยากตัดมันทิ้ง

กรีดทุกสิ่งให้ขาดฉีก

แล่งอกจนตกแบ่งซีก

แล้วเร้นหลีกจากทุกปวงดวงตา]

…ชีวิตจะต้องดีขึ้น…มันต้องดีกว่านี้แน่…

เสียงใครพูดแทรกบทกวีเข้ามา

“…พี่สงสารน้องจริงๆ นะ…พี่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย น้องไปกรุงเทพฯ กับพี่มั้ย พี่จะพาไปเรียนหนังสือ…”

“พี่อุ้มหนูสิ”

“แทนตัวเองว่าหนูสิ…น่า แล้วเฮียจะให้พันหนึ่งเลย…”

 

นํ้าตาของแม่ยังคงหล่นตกลงบนใบหน้าฉัน

มันคือช่วงเวลาอันไม่อาจผลักหายจากความทรงจำ เมื่อยามแตกร้าว ยับเยิน และเป็นเสียยิ่งกว่าตุ๊กตากาบกล้วย

ใบหน้าของพ่อรางเลือนกว่าใคร แต่เสียงร้องไห้และสูดขี้มูกของพี่โฟ กลับดังกระจ่างชัดที่สุด

คลอเสียงของแม่

“ลูกอย่าทำแบบนี้อีกนะ…แม่ขอเถอะนะ อย่าทำกับตัวเองอย่างนี้อีก”

ตอนที่ยังเด็ก ดูเหมือนยายๆ สักคนจะชอบอบรมสั่งสอนว่า อย่าทำให้พ่อแม่เสียใจ ถ้าลูกทำบุพการีร้องไห้ จะเป็นบาปกรรมไปจนตลอดชีวิต

แต่ตอนนี้ แม่กำลังร้องไห้กับการกระทำของฉัน

มือของแม่สั่น จนเส้นผมของฉันแทบจะขาดตามการสางของปลายนิ้วแข็งเกร็ง

“มึงต้องหาย อีพี่!” มีเสียงของพี่โฟสอดเข้ามาด้วย

“ช่วยน้องฉันด้วยนะหมอ ช่วยมันด้วย อย่าให้มันตายเชียวนะ!”

“เขาพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ” เสียงนุ่มนวลตอบกลับมา

“จริงหรือหมอ! จริงหรือ!”

“ครับ แต่คนไข้เสียเลือดมาก มีไข้ด้วย ให้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า”

“อีพี่!”

ฉันแน่ใจว่า ไม่เคยได้ยินเสียงพี่โฟดีใจขนาดนั้นมาก่อน

“มึงไม่เป็นอะไรแล้ว! อีวอก! อีชาติหมา! มึงทำให้กูตกอกตกใจขนาดนี้ รีบๆ ลุกมานะ! มึงอย่าคิดจะหนีกูไปไหนเชียว! อีฮ่าปัก!”

 

[มีต้นน้ำตาอยู่ต้นหนึ่ง

เติบโตขึ้นใต้แม่น้ำที่ไม่เคยหยุดไหล

โปร่งแสงไปทุกก้านใบ

กิ่งรากชอนไชอย่างมั่นคง

ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของดอกไม้สีขาว

เบิกบานกับแสงดาวอันสูงส่ง

แต่ทุกครั้งที่ใบปลิดร่วงลง

ฉันยังคงเป็นได้แค่แมลงตัวนั้น…]

 

ฉันนอนอยู่ในห้องรวมของโรงพยาบาล เป็นเวลาหลายวันหลายคืน รู้สึกตัวเป็นช่วงๆ หลับ ตื่น ง่วง ตื่น หลับ และมีหลายครั้งมักฝันร้าย

แต่ทุกครั้ง เมื่อสะดุ้งตื่นพรวดพราดขึ้นมา จะเห็นใบหน้าของพี่โฟกับแม่เสมอ

จนกระทั่งวันหนี่ง ที่ฉันรู้สึกหิวน้ำ พอได้ผงกหัวจิบน้ำแล้วถามออกไปว่า

“นี่กี่โมง…”

แสงตะวันพลันสาดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกจนพร่าพร่างแสบตา มีนกสีขาวตัวหนึ่งโบยบินลิ่วมาจากฟากฟ้า แต่แล้วมันก็ชนกระจก จนปีกพับร่วงตกลงไป

ฉันเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน สายตาปะทะเข้ากับเบิกกว้างบนสองใบหน้า ซูบเซียวหมองคล้ำอิดโรย กับเผือดขาวผิดตา ผู้หญิงสองคนยืนจ้องฉันอย่างคนใบ้บ้า

ฉันไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ ว่า คนเราแตกสลายได้อีกเป็นร้อยครั้งพันครั้ง

ตราบเท่าที่ยังพ่ายแพ้กันต่อน้ำตา