ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์
นพมาส แววหงส์
THREE BILLBOARDS OUTSIDE EBBING, MISSOURI
‘โกรธ!’
กำกับการแสดง Martin McDonagh
นำแสดง Frances McDormand Sam Rockwell Woody Harrelson Abbie Corning John Hawkes Peter Dinklage
หนังได้รับรางวัลใหญ่จากเวทีออสการ์ไปสำหรับนักแสดงนำหญิง ฟรานซิส แม็กดอร์มันด์ และนักแสดงสมทบชาย แซม ร็อกเวลล์ สำหรับบทที่ตรึงตราน่าประทับใจที่สุดของตัวละครสองตัว
ผู้เขียนชอบหนังของมาร์ติน แม็กดอนาห์ อยู่แล้วตั้งแต่เรื่อง In Bruges เมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นคนทำหนังที่ชอบเขียนเรื่องเองกำกับฯ เอง แบบที่มักใช้คำศัพท์เรียกว่า auteur มากกว่า director
In Bruges เป็นหนังที่มีคอลิน ฟาร์เรลล์ เป็นนักฆ่าที่ทำงานพลาดจนถูกสั่งให้หลบไปซ่อนตัวเงียบๆ ในเมืองเล็กๆ ที่สวยงามของเบลเยียมตามชื่อเรื่อง พร้อมกับเพื่อนร่วมแก๊งวัยแก่กว่า ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในบทอาชญากรวัยกลางคนผู้ชื่นชมความงามของศิลปะและโบราณคดี ระหว่างที่คอลินเบื่อกับชีวิตเรียบง่ายไม่มีอะไรทำในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
นอกจากดาราระดับพระเอกแนวหน้า เรฟ ไฟน์ ที่รับบทผู้ร้ายตัวสำคัญในเรื่องแล้ว หนังยังมี ปีเตอร์ ดิงค์เลจ นักแสดงร่างแคระที่โด่งดังจากบทบาทของทีเรียน แลนนิสเตอร์ ในหนังชุดที่มีแฟนติดตามอย่างใจจดใจจอมาตั้งเจ็ดปีเข้านี่แล้ว คือ Game of Thrones
นักแสดงทั้งสองคนนี้เป็นกุญแจสำคัญในตอนสุดท้ายของเรื่องที่จบเรื่องอย่างสวยงามจนดูเหมือนไม่มีทางจบลงได้ในแบบอื่น
เมื่อมาร์ติน แม็กดอนาห์ มาเขียนบทหนังเรื่อง Three Billboards ขึ้นจากความบันดาลใจที่ขับรถไปในชนบทแห่งหนึ่งและมองเห็นป้ายบิลบอร์ดใหญ่ที่ต่อว่าการทำงานของตำรวจในการคลี่คลายคดี
เขามีฟรานซิส แม็กดอร์มันด์ (เจ้าของออสการ์จากเรื่อง Fargo) อยู่ในหัวเมื่อเขียนบทของมิลเดร็ด เฮย์ส แม่ผู้ที่มีลูกสาวตกเป็นเหยื่อข่มขืนและฆาตกรรม โดยที่ตำรวจท้องถิ่นดูเหมือนไม่มีความก้าวหน้าในการสืบสวนเลย เวลาผ่านไปเจ็ดเดือนก็ยังหาตัวคนกระทำผิดไม่ได้
เมื่อเปิดเรื่อง มิลเดร็ดโกรธแค้นไปทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต นับตั้งแต่โดนสามี (จอห์น ฮอว์กส์) ทิ้งไปหาสาววัยสิบเก้าที่มีสติปัญญาเพียงหางอึ่ง
การทะเลาะกันครั้งสุดท้ายกับลูกสาวและต่อปากต่อคำกันด้วยเรื่องอัปมงคลที่ดูเหมือนส่อลางร้ายที่กำลังจะเกิด
ความตายชวนตระหนกของลูกสาว และเวลาที่ผ่านไปถึงเจ็ดเดือนโดยยังไม่มีความก้าวหน้าในคดีจากงานของตำรวจท้องที่เลย
ขณะเธอขับรถผ่านไปเห็นป้ายโฆษณาเรียงต่อกันสามป้ายบนถนนที่ออกจะร้างผู้คน เธอจึงเกิดไอเดียจะกระตุ้นการทำงานของตำรวจในเมืองนั้นด้วยการไปติดต่อบริษัทโฆษณาที่รับผิดชอบกับป้ายทั้งสามนั้น และขอให้ติดตั้งป้ายด้วยข้อความแสบสันต์แต่กลั่นกรองแล้วว่า ไม่หยาบคาย ไม่ผิดกฎหมาย และไม่เป็นการสบประมาทใคร
ป้ายทั้งสามนั้น เรียงต่อกันโดยทิ้งระยะห่างพออ่านทันในยามขับรถว่า
“โดนข่มขืนขณะกำลังจะตาย”
“ยังไม่มีการจับกุมใครเลย”
“ทำไมล่ะ สารวัตรวิลโลห์บี?”
เท่านั้นเอง สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เรื่องของเธอและตัวเธอ มีสื่อมวลชนมาขอสัมภาษณ์ และส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในแบบต่างๆ ทั้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้คนในเมือง
แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังนักสืบที่มุ่งหน้าจะคลี่คลายคดีตามแบบที่เห็นกันทั่วไป นี่เป็นเรื่องราวที่เผยให้เห็นความเป็นปุถุชนที่ซับซ้อนเกินกว่าจะแบ่งแยกเป็นขาวเป็นดำง่ายๆ ตัวละครแทบทุกตัวมีความลึกและน่าเห็นใจ ถ้าเรามองด้วยความเข้าใจในจิตวิทยามนุษย์
ดูแล้วชวนให้นึกถึงหนังของพี่น้องตระกูลโคเอน โดยเฉพาะเรื่อง Fargo ซึ่งฟราสซิส แม็กดอร์มันด์ เล่นในบทนำเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะเฉพาะของหนังของมาร์ติน แม็กดอนาห์ อยู่ด้วย บอกเสียเลยตรงนี้ว่า Fargo เป็นหนึ่งในหนังที่ตรึงตราอยู่ในความทรงจำของผู้เขียนนะคะ จึงเป็นหนังคลาสสิคและเป็นมาตรฐานที่ใช้เทียบเคียงแบบหนึ่ง
ชาวเมืองหลายคนโกรธแค้นแทนสารวัตรวิลโลห์บี (วูดดี้ แฮร์เรลสัน) ผู้เป็นที่รักของชาวบ้าน และที่สำคัญคือเขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนอยู่แล้ว
ตำรวจลูกน้องของวิลโลห์บี โดยเฉพาะดิกสัน (แซม ร็อกเวลล์) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นคนเหยียดผิว ชอบแต่จะหาเรื่องกับคนผิวดำและคนกลุ่มน้อย ยัดข้อหาให้และทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ดิกสันเป็นคนไปพบป้ายทั้งสามเป็นคนแรก และโกรธแค้นแทนตัวสารวัตรวิลโลห์บีผู้ตกเป็นเป้าในข้อความกล่าวหาที่ปรากฏบนป้าย
แต่วิลโลห์บีก็กำลังอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิตและเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับความตายที่กำลังจะมาถึง
หนังมีพัฒนาการของเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจและมีจุดหักเหที่ไม่คาดคิดหลายบทหลายตอน ตัวละครทุกตัวมีชีวิตโลดแล่นขึ้นมาเหมือนคนจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาเล็กๆ ในเมืองที่รับทำป้าย (เคเล็บ แลนดรี โจนส์)
ตัวสารวัตรวิลโลห์บีที่ตกเป็นเป้าของการโจมตีบนป้ายโฆษณานั้นเอง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
ร็อบบี้ (ลูคัส เฮดจ์) ลูกชายวัยรุ่นของมิลเดร็ด ที่เป็นเด็กติดแม่ ซึ่งอาจจะโตขึ้นกลายเป็นคนที่สะสมความโกรธแค้นต่อโลกเช่นเดียวกับดิกสันได้
สามีของมิลเดร็ดกับเพเนโลปี เมียใหม่วัยสิบเก้าที่เป็นสาวสวยสมองกลวง
หรือหนุ่มใหญ่ร่างแคระแกร็น เจมส์ (ปีเตอร์ ดิงก์เลจ) ที่เข้ามามีความสัมพันธ์กับมิลเดร็ด ในบทบาทที่นำเสนอได้แหลมคมและเสียดแทงใจ
แต่บทบาทที่โดนใจที่สุดคือแคแร็กเตอร์ของมิลเดร็ด และดิกสัน ซึ่งทั้งฟรานซิส แม็กดอร์มันด์ และแซม ร็อกเวลล์ จับไว้อยู่หมัดและกินขาดด้วยการพลิกผันที่น่าประทับใจ
วิลโลห์บีจะเป็นคนสร้างความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือในตัวดิกสัน
ฉากโดนใจที่สุดของมิลเดร็ดคือคำพูดยาวๆ ที่ตอบโต้และตอกหน้าพระที่มาเยี่ยมที่บ้านเพื่อขอให้เธอเห็นใจฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและเอาป้ายโฆษณาลงเพื่อเห็นแก่วิลโลห์บี
ได้ดูบทบาทของนักแสดงเก่งๆ แล้วชวนอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ ค่ะ
ขอบอกเสียก่อนว่าหนังไม่มีตอนจบแบบสรุปนะคะ คนดูที่อยากให้เรื่องลงเอยถึงที่สุด อาจมีความรู้สึกค้างคา เหมือนอะไรที่ยังไม่เสร็จสิ้น แต่นี่คือสิ่งที่ผู้กำกับฯ ต้องการเสนอ สิ่งที่เกิดในชีวิต…การตัดสินใจต่างๆ ของเรา…ยังไม่เสร็จสิ้นหรอกค่ะ…จนกว่าชีวิตจะหาไม่
นี่เป็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความโกรธของคนเรา โกรธต่อโลกที่ไม่ยุติธรรม โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง…แต่ผู้เขียนถูกใจที่หนังให้ข้อคิดที่จะยุติความขัดแย้งทั้งปวงให้ออกมาจากปากของสาวสมองกลวงผู้ไม่รู้ความแตกต่างระหว่างคำว่า “โปโล” กับ “โปลิโอ” ด้วยซ้ำ เธอบอกว่าเธอเพิ่งอ่านข้อความนี้มา
“ความโกรธมีแต่จะก่อให้เกิดความโกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก”
คงไม่ต้องย้ำนะคะว่า เป็นหนังดีที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง